
อเมริกาขึ้นภาษีไทยมีผลอะไรบ้าง

1. สินค้าไทยแพงขึ้น ขายยาก ส่งออกได้น้อยลง
ประเด็นสำคัญข้อแรกเลยก็คือ สินค้าไทยที่ส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาจะกลายเป็นของแพงทันที เมื่อเทียบกับชาติอื่นที่ถูกเก็บภาษีในอัตราที่ต่ำกว่า 36% หรือเมื่อเทียบกับประเทศคู่แข่งที่สามารถผลิตสินค้าได้ในราคาที่ต่ำกว่า แม้จะถูกเก็บภาษีเช่นกัน
ยกตัวอย่างง่าย ๆ คือ จากสินค้าราคา 100 บาท เมื่อส่งเข้าไปยังสหรัฐอเมริกาจะกลายเป็น 136 บาท ในขณะที่ประเทศเวียดนามซึ่งถูกเก็บภาษี 20% ราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้นจาก 100 บาท เป็น 120 บาท ส่วนประเทศมาเลเซียถูกเก็บภาษี 25% ราคาสินค้าจะเพิ่มขึ้นเป็น 125 บาท ตัวเลขนี้อาจทำให้ผู้ประกอบการไทยส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ ได้น้อยลง เนื่องจากผู้ซื้อในสหรัฐฯ มีทางเลือกที่จะหันไปซื้อสินค้าจากแหล่งอื่นที่มีราคาถูกกว่า
สำหรับสินค้าส่งออกจากไทยไปยังสหรัฐอเมริกาที่จะได้รับผลกระทบเป็นอันดับต้น ๆ ได้แก่
-
กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเครื่องใช้ไฟฟ้า เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ โทรศัพท์มือถือ คอมพิวเตอร์ เซมิคอนดักเตอร์ ชิ้นส่วนอุปกรณ์การพิมพ์ หม้อแปลงไฟฟ้า กล้องถ่ายรูป
-
กลุ่มยานยนต์ เช่น ยางรถยนต์ ชิ้นส่วนยานยนต์
-
กลุ่มอัญมณีและเครื่องประดับ
-
กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม โดยเฉพาะผู้ส่งออกอาหารแปรรูป
-
กลุ่มสินค้าเกษตร เช่น ข้าว ยางพารา ทูน่ากระป๋อง ผลไม้กระป๋อง น้ำปลา อาหารสัตว์เลี้ยงแปรรูป
2. โรงงานอาจปิดตัว ทำคนตกงาน
เมื่อผู้ประกอบการของไทยส่งออกสินค้าได้น้อยลง โรงงานอาจต้องลดการผลิต และหากไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากการถูกเก็บภาษี ตลอดจนต้นทุนจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นสูงสุด 400 บาท/วัน ได้อีกต่อไป ก็จำเป็นต้องลดพนักงานหรือปิดกิจการ นำไปสู่ปัญหาการว่างงานที่เพิ่มขึ้นในภาคอุตสาหกรรม
แน่นอนว่าการปิดตัวของโรงงานคงไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับโรงงานที่ส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ เท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังโรงงานปลายน้ำหรือผู้ประกอบการรายอื่นในห่วงโซ่การผลิตด้วย
เช่น หากโรงงานผลิตยางรถยนต์ต้องปิดตัว หรือส่งออกได้น้อยลง ก็จำเป็นต้องลดปริมาณการสั่งซื้อวัตถุดิบต่าง ๆ โดยเฉพาะยางพาราที่ส่งผลต่อเกษตรกรชาวสวนยางโดยตรง รวมไปถึงพ่อค้าคนกลาง สหกรณ์สวนยาง โรงงานแปรรูปน้ำยางสดเป็นน้ำยางข้น โรงงานแปรรูปยางแผ่นดิบเป็นยางแผ่นรมควัน โรงงานแปรรูปยางก้อนถ้วย/เศษยางเป็นยางแท่ง อุตสาหกรรมโลจิสติกส์และการขนส่ง เป็นต้น

3. ต่างชาติย้ายฐานการผลิต
บริษัทต่างชาติที่เข้ามาตั้งโรงงานและฐานการผลิตในประเทศไทยจะเสียเปรียบอย่างมากในการส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐฯ ที่ถูกเก็บภาษีถึง 36% ทำให้ราคาสินค้าปลายทางในสหรัฐฯ แพงขึ้น และคนสหรัฐฯ จะหันไปซื้อสินค้าจากแหล่งอื่นที่ถูกกว่า ส่งผลให้ยอดขายและส่วนแบ่งการตลาดของบริษัทที่ผลิตในไทยลดลงตามไปด้วย
ในกรณีที่บริษัทยังคงต้องการรักษาส่วนแบ่งการตลาดไว้อาจต้องแบกรับภาระภาษีส่วนหนึ่งไว้เอง ซึ่งจะไปลดอัตรากำไรของบริษัทลงอย่างมาก แต่ถ้าดูแล้วไม่คุ้มค่าที่จะดำเนินกิจการในไทยเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ ก็มีแนวโน้มสูงที่จะย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ถูกเก็บภาษีต่ำกว่า เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย เป็นต้น เพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันและผลกำไรของบริษัทไว้ และนั่นอาจทำให้คนไทยตกงานเพิ่มขึ้น
4. ต่างชาติชะลอการลงทุน
5. ฉุดรั้งตลาดหุ้น

6. ภาคการเกษตรอาจได้รับผลกระทบ
แม้ว่าภาคการเกษตรอาจไม่ได้รับผลกระทบหนักเท่ากับภาคอุตสาหกรรม แต่อย่างไรเสียก็ย่อมโดนหางเลขไปด้วย เนื่องจากสินค้าที่ส่งออกไปมีราคาแพงขึ้นย่อมเสียเปรียบคู่แข่ง เมื่อส่งออกได้น้อยลงจะเกิดปัญหาสินค้าล้นตลาดในประเทศ ทำให้ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ ซึ่งจะกระทบต่อรายได้ของเกษตรกรโดยตรง และยังนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ เช่น เกษตรกรไม่มีกำลังซื้อ รวมถึงความสามารถในการชำระหนี้ลดลง
อย่างไรก็ตาม อีกเรื่องที่น่ากังวลก็คือ หนึ่งในข้อเสนอของไทยในการเจรจาคือ อาจยอมลดภาษีนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ในบางประเภท เพื่อแลกกับการที่สหรัฐฯ ยอมลดภาษีนำเข้าสินค้าไทย ตรงนี้จะทำให้สินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เข้ามาแข่งขันในตลาดไทยได้ง่ายขึ้น และส่งผลต่อเกษตรกรของไทยอย่างเลี่ยงไม่ได้ หากไม่มีมาตรการช่วยเหลือเยียวยาเกษตรกรที่ดีพอ
7. ภาระหนี้ครัวเรือนเพิ่มขึ้น

สุดท้ายแล้ว ผลกระทบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการส่งออกได้น้อยลง กำลังการผลิตลดลง ต่างชาติชะลอการลงทุน ต่างชาติย้ายฐานการผลิต โรงงานปิดตัว ย่อมขยายความเสียหายเป็นวงกว้าง เมื่อพนักงานจำนวนหนึ่งต้องตกงาน หรือถูกลดค่าจ้าง ลดสวัสดิการ ลดเงินเดือน แต่ละคนก็ต้องรัดเข็มขัด ใช้สอยอย่างประหยัด นำไปสู่การจับจ่ายที่ลดลงในทุกภาคส่วน ทั้งสินค้าอุปโภค บริโภค อาหาร ท่องเที่ยว ความบันเทิง ฯลฯ กระทบต่อภาคอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่จะขายสินค้าได้น้อยลง ทำกำไรได้น้อยลงตามไปด้วย
นอกจากนี้รายได้ที่ลดลงยังอาจไม่เพียงพอต่อค่าใช้จ่ายและภาระหนี้ที่มีอยู่ เพิ่มโอกาสเสี่ยงที่จะผิดนัดชำระหนี้และกลายเป็นหนี้เสีย ในขณะที่บางครัวเรือนอาจจำเป็นต้องกู้ยืมเงินเพิ่มเพื่อมาประคองค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ซึ่งจะยิ่งเพิ่มวงจรหนี้ให้หนักขึ้นไปอีก
8. GDP ลดลง

GDP (Gross Domestic Product) หรือผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ เป็นตัวชี้วัดถึงขนาดและสุขภาพโดยรวมของเศรษฐกิจในประเทศ หากประเทศไหนมี GDP เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องมักบ่งชี้ว่าเศรษฐกิจกำลังเติบโต มีการจ้างงานเพิ่มขึ้น รายได้สูงขึ้น และมีการผลิตเพิ่มขึ้น
แต่จากสถานการณ์ที่สหรัฐฯ ขึ้นภาษีไทยเป็น 36% อาจส่งผลให้การส่งออกหดตัว กำลังการผลิตลดลง การบริโภคและการลงทุนชะลอตัว จึงเลี่ยงไม่ได้ที่ตัวเลข GDP จะลดลง โดยนักวิเคราะห์จากหลายสถาบันต่างคาดการณ์ว่า GDP ของไทยในปี 2568 มีความเสี่ยงที่จะเติบโตต่ำกว่า 2%
9. ต้องมีข้อแลกเปลี่ยนที่เสียเปรียบสหรัฐฯ
ในการเจรจาต่อรองกับสหรัฐอเมริกา ประเทศไทยต้องยื่นข้อเสนอซึ่งบางข้ออาจทำให้ไทยตกอยู่ในสถานะเสียเปรียบ หรืออย่างน้อยก็ต้องยอมเสียผลประโยชน์บางส่วนเพื่อแลกกับการลดอัตราภาษีนำเข้า 36% อย่างเช่น
-
ตั้งเป้าลดการเกินดุลการค้าของไทยต่อสหรัฐฯ ลงให้ได้ถึง 70% ภายในระยะเวลา 5 ปี และคาดว่าจะสามารถสร้างความสมดุลทางการค้าได้ภายใน 7-8 ปี สิ่งนี้ทำให้ไทยต้องสูญเสียรายได้จากการส่งออก
-
เปิดตลาดสำหรับสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมจากสหรัฐอเมริกา ประเด็นนี้จะทำให้สินค้าเกษตรและสินค้าอุตสาหกรรมจากสหรัฐฯ ทะลักเข้ามาในปริมาณมาก อาจส่งผลให้ราคาสินค้าในประเทศลดลง มีผลต่อรายได้ของเกษตรกรและผู้ประกอบการ
-
เพิ่มการจัดซื้อพลังงาน โดยเฉพาะก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากโครงการก๊าซในรัฐอะแลสกา ปริมาณสูงเป็นระยะเวลา 20 ปี และนำเข้าก๊าซอีเทนจากสหรัฐฯ มากขึ้น เรื่องนี้อาจทำให้ไทยเสียโอกาสในการซื้อพลังงานที่ถูกกว่าหรือหลากหลายกว่า
-
จัดซื้อเครื่องบินโบอิ้ง (Boeing) จากสหรัฐฯ ในจำนวนมากขึ้น ซึ่งต้องใช้งบประมาณมหาศาล และทำให้สายการบินไม่มีทางเลือกในการจัดซื้อจากผู้ผลิตรายอื่นที่อาจมีเครื่องบินที่เหมาะสมกับความต้องการมากกว่า
สิ่งเหล่านี้ทำให้อาจเสียอำนาจต่อรองราคาหรือเงื่อนไขกับผู้ผลิตรายอื่น แต่ก็เป็นยุทธศาสตร์การเจรจาที่จำเป็นและหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะหากถูกเก็บภาษี 36% ขึ้นมาจริง ๆ จะสร้างความเสียหายอย่างมหาศาลต่อภาคการส่งออกและ GDP ของไทย