อย่าให้การเลือกประกันกลุ่มเป็นอุปสรรคในการสร้างทีมงานที่แข็งแกร่ง ! มาเรียนรู้วิธีเลือกประกันกลุ่มที่ตอบโจทย์ธุรกิจของคุณกัน
สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจหน้าใหม่ การมอบสิทธิประโยชน์ให้พนักงาน เช่น การจัดหาประกันกลุ่ม (Group Insurance) ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยสร้างความมั่นใจและแรงจูงใจในการทำงานให้กับทีมงาน อีกทั้งยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้แก่บริษัทในระยะยาว แต่สำหรับเจ้าของธุรกิจมือใหม่ที่ยังไม่มีประสบการณ์ การเลือกประกันกลุ่มอาจดูเหมือนเป็นเรื่องซับซ้อน ด้วยเหตุนี้ เราจึงจะมาช่วยผู้ประกอบการหน้าใหม่ทุกท่าน ด้วยการพาไปทำความเข้าใจวิธีการเลือกประกันกลุ่มที่เหมาะสม พร้อมแนะนำเคล็ดลับที่จะช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. ประเมินความต้องการและงบประมาณของบริษัท
เริ่มต้นด้วยการประเมินความต้องการของพนักงานและงบประมาณของบริษัทอย่างรอบคอบ
-
จำนวนพนักงาน : บริษัทที่มีพนักงานจำนวนมากมักจะมีตัวเลือกที่หลากหลายมากขึ้นสำหรับการต่อรองเบี้ยประกันกลุ่ม
-
ลักษณะการทำงาน : ธุรกิจที่พนักงานทำงานในสายงานที่มีความเสี่ยงสูง เช่น การก่อสร้าง หรือการขนส่ง ควรเลือกประกันกลุ่มที่มีความคุ้มครองสูงกว่า
-
งบประมาณที่ตั้งไว้ : ตรวจสอบว่าบริษัทสามารถจัดสรรงบประมาณรายปีสำหรับเบี้ยประกันได้เท่าไร โดยไม่กระทบต่อกระแสเงินสดหรือการดำเนินงาน
2. เข้าใจประเภทของความคุ้มครองที่ประกันกลุ่มมอบให้
ประกันกลุ่มสามารถแบ่งความคุ้มครองออกได้หลายประเภท โดยความคุ้มครองหลักที่นิยมมีดังนี้
- ประกันสุขภาพกลุ่ม : คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลทั้งผู้ป่วยใน (IPD) และผู้ป่วยนอก (OPD)
- ประกันอุบัติเหตุกลุ่ม : ให้ความคุ้มครองกรณีเกิดอุบัติเหตุทั้งในและนอกเวลาทำงาน
- ประกันชีวิตกลุ่ม : ช่วยดูแลครอบครัวพนักงานในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน
- ประกันรายได้ : ชดเชยรายได้กรณีพนักงานต้องหยุดงานเนื่องจากเจ็บป่วย
ในฐานะเจ้าของธุรกิจ ควรเลือกความคุ้มครองที่สอดคล้องกับความต้องการของพนักงาน เช่น หากพนักงานส่วนใหญ่มีครอบครัว การเลือกประกันกลุ่มร่วมกับประกันสุขภาพอาจตอบโจทย์มากกว่า
3. เลือกบริษัทประกันที่น่าเชื่อถือ
การเลือกบริษัทประกันที่มั่นคงและมีชื่อเสียงเป็นสิ่งสำคัญ เพื่อให้มั่นใจได้ว่าบริษัทสามารถจ่ายเคลมได้อย่างไม่มีปัญหา
-
รีวิวและประสบการณ์ของบริษัทประกัน : ค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับบริษัทที่สนใจ รวมถึงการบริการหลังการขาย
-
ความรวดเร็วในการจ่ายเคลม : บริษัทประกันที่มีระบบจ่ายเคลมรวดเร็วและง่ายดายจะช่วยลดความยุ่งยากให้กับพนักงาน
-
ช่องทางการติดต่อ : ตรวจสอบว่าบริษัทประกันมีช่องทางการติดต่อที่สะดวก เช่น Call Center หรือแอปพลิเคชัน
4. ปรึกษาโบรกเกอร์หรือที่ปรึกษาด้านประกันภัย
สำหรับผู้ประกอบการที่ยังไม่มีความรู้เชิงลึกเกี่ยวกับประกันกลุ่ม การปรึกษาโบรกเกอร์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านประกันภัยถือเป็นทางเลือกที่ดี โบรกเกอร์จะช่วยวิเคราะห์ความต้องการของบริษัท และแนะนำแผนประกันกลุ่มที่เหมาะสมกับงบประมาณ
5. พิจารณาสวัสดิการเพิ่มเติมที่สามารถปรับแต่งได้
นอกจากแผนประกันพื้นฐานแล้ว ผู้ประกอบการยังสามารถเพิ่มสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมเพื่อสร้างแรงจูงใจให้พนักงาน เช่น
-
ค่ารักษาทางทันตกรรม
-
ประกันสุขภาพสำหรับครอบครัวพนักงาน
-
โปรแกรมส่งเสริมสุขภาพ เช่น การตรวจสุขภาพประจำปี
6. ติดตามและปรับปรุงแผนประกันอย่างสม่ำเสมอ
ความต้องการของพนักงานและสถานการณ์ธุรกิจอาจเปลี่ยนแปลงไปตามเวลา ดังนั้น การทบทวนและปรับปรุงแผนประกันกลุ่มเป็นประจำ เช่น ทุกปี หรือเมื่อต่อสัญญา จะช่วยให้มั่นใจได้ว่าความคุ้มครองยังตอบโจทย์พนักงานและงบประมาณของบริษัท
การเลือกประกันกลุ่มสำหรับพนักงานเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ผู้ประกอบการควรเริ่มจากการประเมินความต้องการของทีมงานและศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับประเภทของความคุ้มครองที่เหมาะสม พร้อมเลือกบริษัทประกันที่เชื่อถือได้ โดยขอแนะนำประกันกลุ่มจากโตเกียวมารีนประกันชีวิต ที่ผู้ประกอบการสามารถเลือกความคุ้มครองที่ลงตัวตามความต้องการ จ่ายค่าเบี้ยประกันภัยถูกกว่ารายบุคคล สามารถเลือกสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพกลุ่มที่ครอบคลุม รวมถึงสามารถเลือกชำระเบี้ยประกันภัยได้ทั้งแบบรายเดือน รายไตรมาส ราย 6 เดือน หรือรายปี ขึ้นอยู่กับแผนประกันภัยและจำนวนพนักงาน เรียกได้ว่าเป็นแผนประกันที่พร้อมดูแลพนักงานอย่างเต็มที่ด้วยความคุ้มครองที่ครอบคลุม ช่วยรักษาประสิทธิภาพการทำงานขององค์กร พร้อมก้าวไปสู่ความสำเร็จได้อย่างมั่นใจ