ช่วงที่ผ่านมาธนาคารต่าง ๆ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ตามธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ทยอยขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมาอย่างต่อเนื่องเพื่อบรรเทาปัญหาภาวะเงินเฟ้อ แน่นอนว่าภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นเช่นนี้ย่อมส่งผลกระทบต่อคนผ่อนบ้านที่ใช้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัว (Floating Rate) เพราะนั่นหมายความว่า เงินงวดที่จ่ายไปทุกเดือนจะถูกหักเป็นส่วนของดอกเบี้ยมากขึ้น และอาจต้องจ่ายดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นหลายหมื่นบาทต่อปี ในขณะที่บางคนต้องชำระเงินค่าผ่อนบ้านเพิ่มอีกเป็นเท่าตัว จนสุ่มเสี่ยงที่จะผ่อนบ้านต่อไม่ไหว
ดังนั้น หากใครมีแพลนจะขอสินเชื่อบ้านในเร็ว ๆ นี้ หรือกำลังผ่อนบ้านอยู่แล้ว คงนิ่งนอนใจไม่ได้ จำเป็นต้องวางแผนเพื่อหาทางลดภาระดอกเบี้ยให้เหลือน้อยที่สุด พร้อมกับเคลียร์หนี้บ้านให้หมดไว อย่างเคล็ดลับต่อไปนี้ที่จะช่วยให้คุณผ่อนบ้านได้เบาตัวขึ้น
กู้บ้านอย่างไรให้ผ่อนหมดเร็ว
ในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น
1. เตรียมเงินดาวน์ให้มากที่สุด
2. มองหาสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำและคงที่ในช่วงปีแรก ๆ
อย่างที่ทราบว่าภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นกระทบต่อผู้ใช้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบลอยตัว ดังนั้น ในกรณีที่กำลังพิจารณาอยู่ว่าจะกู้บ้านจากธนาคารไหนดี แนะนำให้เลือกสินเชื่อบ้านที่มีโปรโมชันอัตราดอกเบี้ยต่ำและคงที่ (Fixed Rate) ในช่วง 1-3 ปีแรกหรือนานกว่านั้น เพื่อล็อกอัตราดอกเบี้ยต่ำเอาไว้ เงินงวดที่จ่ายไปจะถูกหักเป็นส่วนเงินต้นมากขึ้น หนี้ก็จะหมดเร็ว
นอกจากนี้การใช้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้แบบคงที่ยังมีข้อดีคือ ทำให้ทราบยอดผ่อนชำระและดอกเบี้ยที่แน่นอน โดยไม่ต้องกังวลว่าแผนการผ่อนบ้านจะสะดุดหากอัตราดอกเบี้ย MRR (Minimum Retail Rate) หรือ MLR (Minimum Loan Rate) ขยับเพิ่มขึ้นอีกในช่วง 3 ปีนี้
3. วางแผนลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ เพื่อโปะเงินเพิ่มทุกเดือน
การผ่อนบ้านใช้วิธีคำนวณดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก หมายความว่า ยิ่งเราชำระหนี้ได้มากเท่าไหร่ ดอกเบี้ยในงวดถัดไปก็จะลดลงไปเรื่อย ๆ ทำให้จ่ายดอกเบี้ยน้อยลง ระยะเวลาในการผ่อนบ้านลดลง เพราะฉะนั้นถ้าต้องการปิดหนี้บ้านโดยเร็ว ควรผ่อนให้เกินค่างวดทุกเดือน เช่น ปกติผ่อนเดือนละ 8,000 บาท ก็อาจโปะเพิ่มไปอีกเป็นเดือนละ 10,000 บาท 12,000 บาท หรือตามที่ส่งไหว
แล้วจะทำอย่างไรถึงมีเงินมาโปะเพิ่มได้ ? แนะนำให้เริ่มจากการทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายให้เห็นพฤติกรรมการใช้จ่ายและสภาพคล่องทางการเงินของตัวเองก่อน จากนั้นก็พิจารณาปรับลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น แม้เป็นเงินเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่เมื่อรวมกันอาจกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ ในขณะเดียวกันก็ควรหาช่องทางสร้างรายได้เสริมควบคู่กันไปด้วย ทั้งหมดนี้จะช่วยให้มีเงินเหลือมากขึ้น และสามารถนำเงินส่วนนี้มาโปะค่างวดเพิ่มได้ทุกเดือน
4. มีเงินก้อนต้องโปะ
5. ยื่นขอรีเทนชั่น (Retention)
6. รีไฟแนนซ์บ้าน (Refinance)
การรีไฟแนนซ์ไปธนาคารอื่นจะช่วยลดดอกเบี้ยบ้านได้มากกว่าการรีเทนชั่น เนื่องจากธนาคารต่าง ๆ มักจัดโปรโมชันอัตราดอกเบี้ยพิเศษในช่วง 3 ปีแรก เราจึงเลือกย้ายไปผ่อนชำระกับธนาคารแห่งใหม่ที่คิดดอกเบี้ยถูกกว่าได้ เพื่อให้จำนวนเงินที่ผ่อนชำระถูกนำไปหักเป็นเงินต้นมากขึ้น ก็จะผ่อนบ้านได้หมดเร็วขึ้น โดยสามารถทำการรีไฟแนนซ์ได้ทุก ๆ 3-5 ปี (ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของสัญญา)
อย่างไรก็ตาม การรีไฟแนนซ์ก็คือการยื่นขอสินเชื่อบ้านอีกครั้ง ผู้กู้ต้องดำเนินการใหม่ทั้งหมด ทั้งการเตรียมเอกสาร ตรวจสอบเครดิตทางการเงิน รวมถึงต้องเสียค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เหมือนตอนยื่นขอสินเชื่อบ้านครั้งแรก ดังนั้น ก่อนตัดสินใจรีไฟแนนซ์ควรตรวจสอบสถานะรายได้และเครดิตทางการเงินของตัวเองว่ายังปกติหรือไม่ มีโอกาสผ่านการอนุมัติสินเชื่อมาก-น้อยแค่ไหน และอย่าลืมคำนวณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ด้วยว่าคุ้มกว่าการอยู่กับธนาคารเดิมหรือไม่