เรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นพิษเศรษฐกิจ ภัยธรรมชาติ โรคระบาด อุบัติเหตุ ตกงาน รวมทั้งอาการเจ็บป่วยของตัวเองและคนในครอบครัวที่เราไม่สามารถรู้ล่วงหน้า ซึ่งสิ่งเหล่านี้ย่อมส่งผลกระทบต่อเงินในกระเป๋าของเราแน่นอน แต่ทุกวิกฤติที่เกิดขึ้นสามารถผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ ถ้าเราวางแผนการเงินเป็นอย่างดี และมี "เงินสำรองฉุกเฉิน" เตรียมพร้อมเอาไว้อีกก้อนหนึ่ง นอกเหนือจากเงินออมทั่วไป
แล้วเราควรจะมีเงินสำรองฉุกเฉินเก็บไว้จำนวนเท่าไร หรือต้องเก็บอย่างไรถึงจะอุ่นใจ ว่าเงินก้อนนี้เพียงพอช่วยเหลือเราในยามจำเป็นได้จริง ๆ ตามมาอ่านกัน

ไม่ว่าจะเป็นใคร ทำอาชีพอะไร การมีเงินสำรองฉุกเฉินเก็บเอาไว้จะเป็นเกราะป้องกันความเสี่ยงให้เรามีเงินใช้ในช่วงที่เดือดร้อนโดยไม่ต้องไปหยิบยืมใคร
ลองนึกภาพตามง่าย ๆ ดูว่า หากเราเป็นมนุษย์เงินเดือนที่วันหนึ่งเจอผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ อยู่ ๆ ก็ตกงานกะทันหัน ไม่มีรายรับทางอื่นเลย แล้วจะนำเงินที่ไหนมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ใช้หนี้ที่มีอยู่ แต่ถ้ามีเงินสำรองฉุกเฉินเก็บเอาไว้บ้าง อย่างน้อยก็สามารถประคองชีวิตให้ไปต่อได้อีกหลายเดือนในระหว่างที่หางานใหม่ หรือพอจะผ่อนชำระหนี้ต่อได้ ไม่กลายเป็นหนี้เสีย
ยิ่งคนที่เป็นฟรีแลนซ์ที่มีรายได้ไม่แน่นอนเป็นพื้นฐานอยู่แล้ว ยิ่งต้องสำรองเงินฉุกเฉิน เพราะเมื่อไม่มีงานเข้ามา คนในครอบครัวเกิดเจ็บป่วย บ้านต้องซ่อม รถต้องเข้าอู่ หรือมีค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า เงินสำรองฉุกเฉินนี่ล่ะที่จะกู้สถานการณ์วิกฤติให้ชีวิตไปต่อได้ ดังนั้น การเก็บออมเงินสำรองฉุกเฉิน จึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างยิ่ง

ก่อนจะคำนวณเงินสำรองฉุกเฉิน เราต้องตรวจสอบรายรับทั้งหมด เพื่อบริหารจัดการค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ให้เป็นสัดส่วนชัดเจน เช่น
- แบ่งเป็นรายจ่ายประจำ (ค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าอาหาร ค่าเดินทาง) 60-70%
- รายจ่ายผันแปร (ค่าเสื้อผ้า ซื้อของต่าง ๆ ท่องเที่ยว สังสรรค์) 20-30%
- เงินออม 10-20%
ในส่วนของเงินออมนั้น อาจแบ่งออกเป็นเงินออมระยะสั้น เงินออมระยะยาว เงินลงทุน และเงินสำรองฉุกเฉิน ตามสัดส่วนที่เรากำหนด ซึ่งคงไม่สามารถบอกได้ว่าควรมีเงินสำรองฉุกเฉินสักเท่าไรถึงจะครอบคลุมค่าใช้จ่ายไม่คาดฝันที่จะเกิดขึ้นในอนาคต แต่โดยหลักการทั่วไปจะแนะนำให้เผื่อเงินสำรองฉุกเฉินไว้อย่างน้อย 3-6 เดือนของค่าใช้จ่ายรายเดือน เพราะฉะนั้น ยิ่งมีค่าใช้จ่ายรายเดือนมากก็ต้องกันเงินสำรองฉุกเฉินมากตามไปด้วย ยกตัวอย่างการคำนวณเงินสำรองฉุกเฉิน ดังนี้
ค่าใช้จ่ายในแต่ละเดือน
- ค่าเช่าบ้าน/หอพัก 7,000 บาท
- ค่าน้ำ ค่าไฟ 1,500 บาท
- ค่าอาหาร 5,000 บาท
- ค่าเดินทาง 2,000 บาท
- ค่าโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต 500 บาท
- ค่าประกันชีวิต 2,000 บาท
- ค่าใช้จ่ายจิปาถะ 3,000 บาท
เท่ากับว่าจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 22,000 บาท/เดือน ซึ่งอาจเผื่อไว้เป็นเดือนละ 25,000 บาทก็ได้ ดังนั้น พยายามเก็บเงินสำรองฉุกเฉินให้ได้ 3-6 เดือน หรือประมาณ 66,000-150,000 บาท
ทั้งนี้ ตัวเลข 3-6 เดือนสามารถปรับเปลี่ยนได้ ขึ้นอยู่กับสถานะของตัวเองด้วยว่ามีรายได้แน่นอนไหม อย่างข้าราชการที่มีหน้าที่การงานค่อนข้างมั่นคงและมีสิทธิสวัสดิการบางประการอยู่แล้ว อาจเก็บเงินสำรองไว้อย่างน้อย 3-6 เดือน
ขณะที่พนักงานบริษัทเอกชน เก็บเงินสำรองเผื่อไว้ 6-12 เดือนเลยก็ดี แต่ถ้าเป็นคนทำงานฟรีแลนซ์ พ่อค้า แม่ค้า ประกอบอาชีพอิสระที่มีรายได้ไม่แน่นอน และไม่มีสวัสดิการด้านอื่น ๆ แนะนำให้มีเงินสำรองมากกว่า 12 เดือน เผื่อกรณีเลวร้ายที่สุดคือไม่มีคนจ้างงานนานถึง 1 ปี จึงพออุ่นใจว่าจะมีเงินใช้จ่ายเมื่อเกิดปัญหาขึ้น
และหากใครมีครอบครัว มีพ่อแม่ มีลูกต้องดูแล ก็ควรออมเงินสำรองให้มากกว่าเกณฑ์ปกติ เพื่อเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าประกันสุขภาพ ประกันชีวิต ค่าเล่าเรียน ค่าท่องเที่ยวเดินทาง ที่ต้องควักกระเป๋าจ่ายในอนาคต

เพื่อให้เงินออมงอกเงยและได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้น เรามักเลือกเก็บออมในหลาย ๆ วิธี อย่างการซื้อสลากออมทรัพย์ ซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ เงินฝากประจำ ลงทุนในกองทุนรวม ลงทุนในหุ้น ทองคำ ฯลฯ
แต่สำหรับ "เงินสำรองฉุกเฉิน" แม้จะเป็นเงินออมเหมือนกัน แต่สิ่งที่ต่างไปก็คือ เงินก้อนนี้ต้องมีสภาพคล่องที่สูงกว่าการออมเงินแบบปกติ เบิกออกมาได้ทันที จึงไม่ควรนำไปลงทุนที่มีความเสี่ยงสูง การลงทุนในระยะยาว หรือแปลงเงินสดเป็นสินทรัพย์ประเภทอื่นเด็ดขาด เพราะไม่สามารถนำเงินออกมาได้ในเวลาที่ต้องการ หรือถอนออกมาแล้วต้องสูญเสียเงินต้นบางส่วนไป
หากยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นเก็บเงินสำรองฉุกเฉินอย่างไรดี หรือกลัวจะเผลอนำเงินออกมาใช้ก่อน แนวทางต่อไปนี้น่าจะช่วยให้คุณเก็บเงินสำรองฉุกเฉินได้
● เก็บเงินสำรองฉุกเฉินไว้ในบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูงที่ให้ถอนเงินออกมาใช้ได้ หรือเก็บไว้ในกองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนตราสารหนี้ระยะสั้น ซึ่งให้ผลตอบแทนดีกว่าการเก็บเงินสดไว้กับตัว และสามารถเบิกถอนออกมาได้ภายใน 1-2 วัน เมื่อต้องการใช้เงิน
● ไม่ควรผูกบัตรเดบิต Mobile Banking หรือ Internet Banking ไว้กับบัญชีเงินฝากสำรองฉุกเฉิน จะได้ยากต่อการถอนเงินออกมาใช้ เป็นการบังคับให้ใช้เงินในเวลาจำเป็นจริง ๆ
● ตั้งเป้าว่าจะแบ่งเงินเดือนมาเก็บสำรองฉุกเฉินกี่เปอร์เซ็นต์ เมื่อเงินเดือนเข้าบัญชีก็ให้หักเงินจำนวนนั้นโอนเข้าบัญชีเงินสำรองฉุกเฉินทุกเดือน
● กำหนดให้ชัดเจนว่ากรณีใดนับเป็นเหตุฉุกเฉินที่ถอนเงินก้อนนี้ออกมาใช้ได้จริง ๆ อย่างเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายช่วงตกงาน เป็นต้น และจำไว้ว่าถ้าไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินจริง ๆ จะไม่ถอนเงินออกมาใช้เด็ดขาด
อย่างไรก็ตาม ในบางสถานการณ์ที่ต้องใช้จ่ายเร่งด่วน แต่เงินสำรองฉุกเฉินไม่เพียงพอที่จะทำให้ความปรารถนาสมหวัง "สินเชื่อบุคคลไทรทองอเนกประสงค์" จากธนาคารออมสิน ก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่จะช่วยให้ทุกความต้องการเป็นจริงได้ง่ายกว่า
โดย "สินเชื่อบุคคลไทรทองอเนกประสงค์" เป็นสินเชื่อที่สามารถใช้หลักทรัพย์หรือบุคคลค้ำประกัน วงเงินกู้สูงสุดไม่เกิน 10 ล้านบาท ผ่อนนานสูงสุด 25 ปี สามารถนำเงินไปใช้จ่ายเป็นทุนการศึกษา ค่ารักษาพยาบาล ซื้อยานพาหนะ ใช้ในการประกอบอาชีพ หรือเรื่องอื่น ๆ ขอเพียงคุณมีรายได้ที่แน่นอนก็สามารถยื่นขอสินเชื่อเพื่อให้ชีวิตไปต่อได้
