กระทรวงการคลัง ยันรัฐยังมีสภาพคล่อง ยังไม่จำเป็นต้องเพิ่ม VAT เป็น 9% หวั่นซ้ำเติมประชาชน และอาจทำให้ GDP หดร้อยละ -0.6 พร้อมย้ำมติ ครม. ให้คง VAT 7% ถึงกันยายน 2564
![VAT 9% VAT 9%]()
วันที่ 5 กันยายน 2563 เฟซบุ๊ก สถานีข่าวกระทรวงการคลัง ได้ชี้แจงเกี่ยวกับกรณีที่มีกระแสข่าวว่าจะมีการขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นร้อยละ 9 ว่า ปัจจุบันฐานะทางการคลังของรัฐบาลยังมีความมั่นคงและมีสภาพคล่องเพียงพอต่อการดำเนินนโยบายของรัฐบาล เงินคงคลังในปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่เข้มแข็ง แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการดำเนินนโยบายของรัฐบาลในการบรรเทาผลกระทบประชาชนและภาคธุรกิจในช่วงวิกฤต COVID-19
แต่ระดับเงินคงคลังในปัจจุบันของรัฐบาลยังอยู่ในระดับที่เพียงพอต่อการรองรับการเบิกจ่ายงบประมาณของหน่วยงานภาครัฐ และการดำเนินนโยบายต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศในระยะต่อไป อีกทั้งภาระหนี้ต่องบประมาณอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ ไม่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ และระดับหนี้สาธารณะยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ
ทั้งนี้
ภาษีมูลค่าเพิ่มนั้นเป็นภาษีฐานการบริโภคที่มีความสัมพันธ์กับภาวะเศรษฐกิจของประเทศ
การปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มย่อมส่งผลกระทบต่อการบริโภคของประชาชนอย่างมีนัยสำคัญ
เนื่องจากผลของการปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มทำให้ระดับราคาสินค้าและบริการเพิ่มขึ้น
ส่งผลต่อการลดอำนาจการซื้อของประชาชน
ซึ่งอาจเป็นการซ้ำเติมประชาชนในภาวะเศรษฐกิจได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัส
โควิด 19
นอกจากนี้การปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 9 อาจทำให้ GDP ลดลงอย่างน้อยร้อยละ -0.6 ต่อปี จากกรณีฐาน อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าให้ปรับตัวสูงขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 ต่อปี จากกรณีฐาน การปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวจะทำให้เศรษฐกิจไทยที่อยู่ในภาวะชะลอตัวยิ่งหดตัวมากขึ้น ดังนั้น การปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเรื่องสำคัญและละเอียดอ่อน จึงต้องพิจารณารอบด้านและดูช่วงเวลาที่เหมาะสม
ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2563 คณะรัฐมนตรียังได้มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่ร้อยละ 7 ต่อไปอีก 1 ปี (ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2564) เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน และกระตุ้นให้มีการบริโภคของประชาชนอย่างต่อเนื่อง
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก สถานีข่าวกระทรวงการคลัง

แต่ระดับเงินคงคลังในปัจจุบันของรัฐบาลยังอยู่ในระดับที่เพียงพอต่อการรองรับการเบิกจ่ายงบประมาณของหน่วยงานภาครัฐ และการดำเนินนโยบายต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศในระยะต่อไป อีกทั้งภาระหนี้ต่องบประมาณอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ ไม่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประเทศ และระดับหนี้สาธารณะยังอยู่ภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังของรัฐ
นอกจากนี้การปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มจากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 9 อาจทำให้ GDP ลดลงอย่างน้อยร้อยละ -0.6 ต่อปี จากกรณีฐาน อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าให้ปรับตัวสูงขึ้น โดยอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.5 ต่อปี จากกรณีฐาน การปรับขึ้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มดังกล่าวจะทำให้เศรษฐกิจไทยที่อยู่ในภาวะชะลอตัวยิ่งหดตัวมากขึ้น ดังนั้น การปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มเป็นเรื่องสำคัญและละเอียดอ่อน จึงต้องพิจารณารอบด้านและดูช่วงเวลาที่เหมาะสม
ขณะเดียวกัน เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2563 คณะรัฐมนตรียังได้มีมติเห็นชอบให้ขยายระยะเวลาการลดอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มที่ร้อยละ 7 ต่อไปอีก 1 ปี (ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2564) เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้กับประชาชน และกระตุ้นให้มีการบริโภคของประชาชนอย่างต่อเนื่อง
ขอบคุณข้อมูลจาก เฟซบุ๊ก สถานีข่าวกระทรวงการคลัง