เมื่อต้องการแปลงรถเป็นเงิน นอกจากพิจารณาเรื่องอัตราดอกเบี้ยแล้ว ควรเลือกประเภทดอกเบี้ยให้เหมาะกับระยะเวลาในการผ่อนด้วย เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด
![สินเชื่อรถแลกเงิน สินเชื่อรถแลกเงิน]()
สำหรับผู้ที่ต้องการใช้เงินก้อนในยามจำเป็น แต่เงินที่มีอยู่อาจไม่เพียงพอ การนำ "รถยนต์ที่เราผ่อนหมดแล้ว" มาใช้เป็นหลักประกันในการกู้เงิน ถือเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยให้มีเงินก้อน โดยเรายังสามารถใช้ประโยชน์จากรถยนต์ได้ตามปกติ ซึ่งในปัจจุบันการคิดดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อประเภทนี้มีให้เลือกทั้งแบบคงที่และแบบลดต้นลดดอก แล้วเราจะเลือกดอกเบี้ยแบบไหนที่เหมาะและคุ้มค่า กระปุกดอทคอมนำคำแนะนำจาก K-Expert มาฝากกัน
1. ค่างวดประกอบด้วยอะไรบ้าง
โดยปกติแล้วหากเรากู้ซื้อรถยนต์ใหม่ ค่างวดที่ต้องชำระในแต่ละเดือนจะประกอบไปด้วยเงินต้นและดอกเบี้ย แต่สำหรับเงินกู้ที่เกิดจากการนำรถยนต์ปลอดภาระมาเป็นหลักประกันนั้น นอกจากเงินต้นและดอกเบี้ยแล้ว เรายังต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อีก 7% ด้วย
ตัวอย่างเช่น กู้เงิน 200,000 บาท ผ่อน 60 งวด อัตราดอกเบี้ยงคงที่ 3.85% ต่อปี ค่าผ่อนต่อเดือน 4,253 บาท ซึ่งในค่าผ่อน 4,253 บาท เงินผ่อนจริงจะอยู่ที่ประมาณ 3,975 บาท และมีภาษีมูลค่าเพิ่ม 278 บาท
ดังนั้น หากนำค่างวดมารวมกันตลอดอายุสัญญาหรือระยะเวลาการกู้แล้ว จำนวนเงินที่เราต้องจ่ายทั้งหมดอยู่ที่ 255,180 บาท (4,253X60) ซึ่งหลัก ๆ จะประกอบไปด้วย 3 ส่วนคือ
- เงินต้นหรือจำนวนเงินที่เรากู้อยู่ที่ 200,000 บาท
- ดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญาอยู่ที่ประมาณ 38,500 บาท
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ของเงินต้น และดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 16,680 บาท
จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า การกู้เงินประเภทนี้มีค่าใช้จ่ายทั้งดอกเบี้ยและภาษีมูลค่าเพิ่ม ก่อนตัดสินใจกู้เงินจึงควรมั่นใจว่ามีความจำเป็นต้องใช้เงินจริง ๆ
2. ดอกเบี้ยคงที่กับลดต้นลดดอกแบบไหนแพงกว่ากัน
หากจะเปรียบเทียบว่าดอกเบี้ยแบบคงที่กับแบบลดต้นลดดอก แบบไหนแพงกว่ากันนั้น เราจะดูแค่ตัวเลขอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เนื่องจากทั้งสองแบบมีวิธีการคำนวณดอกเบี้ยที่ไม่เหมือนกัน
- หากอัตราดอกเบี้ยเท่ากัน ดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกจะถูกกว่าเพราะดอกเบี้ยในแต่ละเดือนคำนวณจากเงินกู้คงเหลือที่ลดลงจากการจ่ายค่างวด ซึ่งจะถูกนำไปชำระค่าภาษีมูลค่าเพิ่มและดอกเบี้ยก่อน ส่วนที่เหลือค่อยนำไปชำระเงินกู้ เงินกู้คงเหลือก็จะถูกนำไปคิดดอกเบี้ยในเดือนถัดไป จึงทำให้ดอกเบี้ยที่คำนวณได้ในเดือนถัดไปลดลงนั่นเอง ต่างจากแบบคงที่ที่ดอกเบี้ยในแต่ละเดือนคำนวณจากเงินกู้เต็มจำนวน โดยดอกเบี้ยที่คำนวณได้จะถูกนำมาหารจำนวนงวด เป็นดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือน ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่เท่า ๆ กันทุกเดือน
โดยจากตัวอย่างเดิม หากดอกเบี้ยในเดือนแรกอยู่ที่ 641 บาท การคิดดอกเบี้ยแบบคงที่ดอกเบี้ยจะเท่ากันทุก ๆ เดือนที่ 641 บาท แต่หากเป็นแบบลดต้นลดดอก ดอกเบี้ยเดือนแรกจะอยู่ที่ 641 บาท และลดลงเรื่อย ๆ ในเดือนถัดไปตามเงินต้นที่ลดลง
- หากอัตราดอกเบี้ยไม่เท่ากัน เราสามารถแปลงอัตราดอกเบี้ยคงที่ให้เป็นอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกเพื่อเปรียบเทียบได้แบบคร่าว ๆ ด้วยการนำอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก คูณด้วย 1.8 หรือสามารถ เปรียบเทียบเป็นจำนวนเงิน ง่าย ๆ โดย
(ค่างวด X จำนวนงวด) – วงเงินกู้ = ดอกเบี้ยและภาษีมูลค่าเพิ่ม
ซึ่งจากตัวอย่างเดิม
แบบคงที่ อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 3.85% ต่อปี ค่าผ่อนเดือนละ 4,253 บาท
ดอกเบี้ยและภาษีมูลค่าเพิ่มของอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ = (4,253X60)-200,000 = 55,180 บาท
แบบลดต้นลดดอก สมมติว่า อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 7.42% ต่อปี ค่าผ่อนต่อเดือนอยู่ที่ 4,280 บาท
ดอกเบี้ยและภาษีมูลค่าเพิ่มของอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก = (4,280X60)-200,000 = 56,800 บาท
จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่าจำนวนเงินดอกเบี้ยแบบคงที่และแบบลดต้นลดดอกใกล้เคียงกัน ทั้ง ๆ ที่อัตราดอกเบี้ยต่างกันถึงเกือบ 2 เท่า (3.85% ต่อ 7.42%)
การคำนวณด้วยวิธีนี้จะทำให้เราทราบถึงจำนวนดอกเบี้ยและภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งหมดที่ต้องจ่ายตลอดอายุสัญญาหรือระยะเวลาการกู้
นอกจากการเลือกดอกเบี้ยด้วยการเปรียบเทียบว่าแบบไหนถูกหรือแพงกว่ากันแล้ว เราควรดูความตั้งใจในการผ่อนด้วย
- หาก "ใช้เงินไม่นาน ไม่กี่เดือนก็จะมีเงินมาปิด หรือมีเงินมาโปะได้เรื่อย ๆ" เลือกแบบลดต้นลดดอกจะช่วยให้หนี้หมดเร็วขึ้น หรือหากมีเงินมาปิดเงินกู้ทั้งหมดได้ ก็จะช่วย "ประหยัดดอกเบี้ย" ในส่วนที่เหลือทั้งหมด เหมือนกับการปิดหนี้เงินกู้บ้าน แต่ในส่วนของ "ภาษีมูลค่าเพิ่ม" ที่ถูกคิดตั้งแต่ตอนแรกนั้น ถึงแม้จะมีการปิดหนี้ก่อนก็ยังต้องจ่ายจนครบ โดยจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มของค่างวดที่เหลือตลอดอายุสัญญาเงินกู้ ดังนั้น หากมีแผนจะปิดหนี้ก่อนควรเลือกจำนวนงวดผ่อนสั้น ๆ
- หากตั้งใจว่า "จะผ่อนไปเรื่อย ๆ ไม่รีบปิด" ให้เปรียบเทียบที่ดอกเบี้ยจ่ายว่าแบบไหนถูกกว่ากัน อย่างไรก็ตาม หากเลือกอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ เพราะเปรียบเทียบแล้วอัตราดอกเบี้ยถูกกว่า ถ้าในอนาคตเกิดเปลี่ยนใจอยากปิดหนี้ก่อนกำหนดจะไม่ได้ช่วยประหยัดดอกเบี้ยสักเท่าไร เนื่องจากจะได้รับส่วนลด 50% ของดอกเบี้ยที่คงเหลือในระบบ (ซึ่งต่างจากแบบลดต้นลดดอกที่ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยที่เหลือ) และยังคงต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มเช่นเดียวกับแบบลดต้นลดดอก
สุดท้ายแล้วไม่ว่าเราจะเลือกดอกเบี้ยแบบคงที่หรือแบบลดต้นลดดอกก็ตาม ควรสอบถามเงื่อนไขการชำระและการปิดหนี้ก่อนตัดสินใจ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหรือความเข้าใจผิดในภายหลัง เช่น อาจมีข้อกำหนดว่า ดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกจะปิดหนี้ได้เมื่อผ่อนไปแล้ว 6 งวด เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัทไฟแนนซ์
K-Expert Action
• พิจารณาถึงความจำเป็นในการใช้เงินก้อน ก่อนตัดสินใจแปลงรถเป็นเงิน
• ประเมินระยะเวลาในการผ่อน เพื่อพิจารณาเลือกประเภทดอกเบี้ยให้เหมาะสมกับความต้องการ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก


1. ค่างวดประกอบด้วยอะไรบ้าง
โดยปกติแล้วหากเรากู้ซื้อรถยนต์ใหม่ ค่างวดที่ต้องชำระในแต่ละเดือนจะประกอบไปด้วยเงินต้นและดอกเบี้ย แต่สำหรับเงินกู้ที่เกิดจากการนำรถยนต์ปลอดภาระมาเป็นหลักประกันนั้น นอกจากเงินต้นและดอกเบี้ยแล้ว เรายังต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) อีก 7% ด้วย
ตัวอย่างเช่น กู้เงิน 200,000 บาท ผ่อน 60 งวด อัตราดอกเบี้ยงคงที่ 3.85% ต่อปี ค่าผ่อนต่อเดือน 4,253 บาท ซึ่งในค่าผ่อน 4,253 บาท เงินผ่อนจริงจะอยู่ที่ประมาณ 3,975 บาท และมีภาษีมูลค่าเพิ่ม 278 บาท
ดังนั้น หากนำค่างวดมารวมกันตลอดอายุสัญญาหรือระยะเวลาการกู้แล้ว จำนวนเงินที่เราต้องจ่ายทั้งหมดอยู่ที่ 255,180 บาท (4,253X60) ซึ่งหลัก ๆ จะประกอบไปด้วย 3 ส่วนคือ
- เงินต้นหรือจำนวนเงินที่เรากู้อยู่ที่ 200,000 บาท
- ดอกเบี้ยตลอดอายุสัญญาอยู่ที่ประมาณ 38,500 บาท
- ภาษีมูลค่าเพิ่ม 7% ของเงินต้น และดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 16,680 บาท
จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่า การกู้เงินประเภทนี้มีค่าใช้จ่ายทั้งดอกเบี้ยและภาษีมูลค่าเพิ่ม ก่อนตัดสินใจกู้เงินจึงควรมั่นใจว่ามีความจำเป็นต้องใช้เงินจริง ๆ

2. ดอกเบี้ยคงที่กับลดต้นลดดอกแบบไหนแพงกว่ากัน
หากจะเปรียบเทียบว่าดอกเบี้ยแบบคงที่กับแบบลดต้นลดดอก แบบไหนแพงกว่ากันนั้น เราจะดูแค่ตัวเลขอัตราดอกเบี้ยเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เนื่องจากทั้งสองแบบมีวิธีการคำนวณดอกเบี้ยที่ไม่เหมือนกัน
- หากอัตราดอกเบี้ยเท่ากัน ดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกจะถูกกว่าเพราะดอกเบี้ยในแต่ละเดือนคำนวณจากเงินกู้คงเหลือที่ลดลงจากการจ่ายค่างวด ซึ่งจะถูกนำไปชำระค่าภาษีมูลค่าเพิ่มและดอกเบี้ยก่อน ส่วนที่เหลือค่อยนำไปชำระเงินกู้ เงินกู้คงเหลือก็จะถูกนำไปคิดดอกเบี้ยในเดือนถัดไป จึงทำให้ดอกเบี้ยที่คำนวณได้ในเดือนถัดไปลดลงนั่นเอง ต่างจากแบบคงที่ที่ดอกเบี้ยในแต่ละเดือนคำนวณจากเงินกู้เต็มจำนวน โดยดอกเบี้ยที่คำนวณได้จะถูกนำมาหารจำนวนงวด เป็นดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือน ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่เท่า ๆ กันทุกเดือน
โดยจากตัวอย่างเดิม หากดอกเบี้ยในเดือนแรกอยู่ที่ 641 บาท การคิดดอกเบี้ยแบบคงที่ดอกเบี้ยจะเท่ากันทุก ๆ เดือนที่ 641 บาท แต่หากเป็นแบบลดต้นลดดอก ดอกเบี้ยเดือนแรกจะอยู่ที่ 641 บาท และลดลงเรื่อย ๆ ในเดือนถัดไปตามเงินต้นที่ลดลง
- หากอัตราดอกเบี้ยไม่เท่ากัน เราสามารถแปลงอัตราดอกเบี้ยคงที่ให้เป็นอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกเพื่อเปรียบเทียบได้แบบคร่าว ๆ ด้วยการนำอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก คูณด้วย 1.8 หรือสามารถ เปรียบเทียบเป็นจำนวนเงิน ง่าย ๆ โดย
(ค่างวด X จำนวนงวด) – วงเงินกู้ = ดอกเบี้ยและภาษีมูลค่าเพิ่ม
ซึ่งจากตัวอย่างเดิม
แบบคงที่ อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 3.85% ต่อปี ค่าผ่อนเดือนละ 4,253 บาท
ดอกเบี้ยและภาษีมูลค่าเพิ่มของอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ = (4,253X60)-200,000 = 55,180 บาท
แบบลดต้นลดดอก สมมติว่า อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 7.42% ต่อปี ค่าผ่อนต่อเดือนอยู่ที่ 4,280 บาท
ดอกเบี้ยและภาษีมูลค่าเพิ่มของอัตราดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอก = (4,280X60)-200,000 = 56,800 บาท
จากตัวอย่างจะเห็นได้ว่าจำนวนเงินดอกเบี้ยแบบคงที่และแบบลดต้นลดดอกใกล้เคียงกัน ทั้ง ๆ ที่อัตราดอกเบี้ยต่างกันถึงเกือบ 2 เท่า (3.85% ต่อ 7.42%)
การคำนวณด้วยวิธีนี้จะทำให้เราทราบถึงจำนวนดอกเบี้ยและภาษีมูลค่าเพิ่มทั้งหมดที่ต้องจ่ายตลอดอายุสัญญาหรือระยะเวลาการกู้

3. เลือกอย่างไรให้เหมาะ
นอกจากการเลือกดอกเบี้ยด้วยการเปรียบเทียบว่าแบบไหนถูกหรือแพงกว่ากันแล้ว เราควรดูความตั้งใจในการผ่อนด้วย
- หาก "ใช้เงินไม่นาน ไม่กี่เดือนก็จะมีเงินมาปิด หรือมีเงินมาโปะได้เรื่อย ๆ" เลือกแบบลดต้นลดดอกจะช่วยให้หนี้หมดเร็วขึ้น หรือหากมีเงินมาปิดเงินกู้ทั้งหมดได้ ก็จะช่วย "ประหยัดดอกเบี้ย" ในส่วนที่เหลือทั้งหมด เหมือนกับการปิดหนี้เงินกู้บ้าน แต่ในส่วนของ "ภาษีมูลค่าเพิ่ม" ที่ถูกคิดตั้งแต่ตอนแรกนั้น ถึงแม้จะมีการปิดหนี้ก่อนก็ยังต้องจ่ายจนครบ โดยจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มของค่างวดที่เหลือตลอดอายุสัญญาเงินกู้ ดังนั้น หากมีแผนจะปิดหนี้ก่อนควรเลือกจำนวนงวดผ่อนสั้น ๆ
- หากตั้งใจว่า "จะผ่อนไปเรื่อย ๆ ไม่รีบปิด" ให้เปรียบเทียบที่ดอกเบี้ยจ่ายว่าแบบไหนถูกกว่ากัน อย่างไรก็ตาม หากเลือกอัตราดอกเบี้ยแบบคงที่ เพราะเปรียบเทียบแล้วอัตราดอกเบี้ยถูกกว่า ถ้าในอนาคตเกิดเปลี่ยนใจอยากปิดหนี้ก่อนกำหนดจะไม่ได้ช่วยประหยัดดอกเบี้ยสักเท่าไร เนื่องจากจะได้รับส่วนลด 50% ของดอกเบี้ยที่คงเหลือในระบบ (ซึ่งต่างจากแบบลดต้นลดดอกที่ไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ยที่เหลือ) และยังคงต้องจ่ายภาษีมูลค่าเพิ่มเช่นเดียวกับแบบลดต้นลดดอก
สุดท้ายแล้วไม่ว่าเราจะเลือกดอกเบี้ยแบบคงที่หรือแบบลดต้นลดดอกก็ตาม ควรสอบถามเงื่อนไขการชำระและการปิดหนี้ก่อนตัดสินใจ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหรือความเข้าใจผิดในภายหลัง เช่น อาจมีข้อกำหนดว่า ดอกเบี้ยแบบลดต้นลดดอกจะปิดหนี้ได้เมื่อผ่อนไปแล้ว 6 งวด เป็นต้น ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละบริษัทไฟแนนซ์
K-Expert Action
• พิจารณาถึงความจำเป็นในการใช้เงินก้อน ก่อนตัดสินใจแปลงรถเป็นเงิน
• ประเมินระยะเวลาในการผ่อน เพื่อพิจารณาเลือกประเภทดอกเบี้ยให้เหมาะสมกับความต้องการ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
