x close

4 คำถามเรื่องการเงินที่ต้องคุยให้เข้าใจ ก่อนใช้ชีวิตคู่

          พูดคุยเรื่องเงินกันให้เคลียร์ก่อนตัดสินใจแต่งงาน ทั้งเรื่องเงินที่เข้ามา ค่าใช้จ่ายส่วนกลาง งบประมาณ การจัดการหนี้ และเงินออม เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลัง
          ใครกำลังวางแผนจะแต่งงานใช้ชีวิตคู่ นอกจากเรื่องการจัดงานแต่งงานแล้ว อย่าลืมคุยกันเรื่องเงิน ๆ ทอง ๆ ซึ่งสำคัญไม่แพ้เรื่องอื่น ๆ อย่างที่กระปุกดอทคอม นำคำแนะนำจาก K-Expert มาเล่าให้ฟังค่ะ

คำถามเรื่องเงินก่อนใช้ชีวิตคู่

          ช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมานี้ ไม่แน่ใจว่าเป็นช่วงฤกษ์งามยามดีหรืออย่างไรไม่ทราบ เพราะจดหมายเชิญไปงานแต่งงานนั้นมีเยอะมาก เมื่อเดือนที่แล้ว เพื่อนสนิทอีกคนก็ตัดช่องน้อยแต่พอตัวตัดสินใจสละโสดไปอีกราย และนัดมาทานข้าวเพื่อแจ้งข่าวดีให้เพื่อนที่ยังโสดอิจฉาเล่น ๆ ในขณะที่กำลังทานข้าวกันหลังได้รับข่าวอันน่ายินดี และคุยกันอย่างออกรส ผู้เขียนก็ดันโพล่งคำถามที่กะว่าจะถามเล่น ๆ ว่า "แต่งงานกันแล้ว ใครจะเป็นคนคุมเงินเหรอ ?"

          คำถามเล่น ๆ แต่ดันกลายเป็นเรื่องจริงอิงดราม่าซะงั้น เมื่อเพื่อนสนิทตอบว่า เค้าจะเป็นคนดูแลเองเพราะเป็นคนที่มีรายได้มากกว่า ส่วนว่าที่ภรรยากลับสวนว่า ที่จริงแล้วคิดว่าคุณสามีน่าจะมอบอำนาจนั้นให้กับตัวเอง เพราะดูแล้วนอกจากหาเงินได้เยอะแล้ว ไม่เห็นจะเก็บเงินเป็นเลย

          เท่านั้นแหละ บรรยากาศก็เริ่มอึมครึมขึ้นมาซะอย่างนั้น มันก็น่าแปลกนะที่คนรักกัน คบกันมาตั้งนาน รู้ใจกันทุกอย่าง ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร รู้ว่าทำอะไรแล้วจะถูกใจ ไม่ถูกใจ แต่พอมาถึงเรื่องเงินกลับไม่คุยกันให้เคลียร์ ๆ

          โทษฐานที่เป็นผู้จุดชนวนความขัดแย้งก็เลยจัดแจงช่วยเป็นที่ปรึกษาเรื่องการเงินบนโต๊ะอาหารไปเลย ซึ่งเรื่องในวันนั้นจบลงแต่โดยดี แต่คิดว่าเรื่องนี้น่าจะดีกับทุก ๆ คู่รัก K-Expert เลยอยากจะเอามาบอกต่อ

คำถามเรื่องเงินก่อนใช้ชีวิตคู่

          เรื่องแรกที่ต้องคิดก็คือ ทั้งคู่มองเงินที่เข้ามาอย่างไร เป็นแบบของใครของมัน หรือเป็นของกลาง หากมองว่าเงินนั้นเป็นของใครของมัน คำถามต่อมาคือ แล้วค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นด้วยกัน เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ หรือค่าเลี้ยงดูลูก ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ใครจะรับผิดชอบ

          หากจะแบ่งค่าใช้จ่ายกัน หากใช้วิธีว่ารายได้ใครมากก็รับผิดชอบค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ไป ซึ่งวิธีนี้ก็อาจจะมีความปวดหัวเพราะค่าใช้จ่ายบางอย่างไม่คงที่ เช่น คนที่รับผิดชอบค่าไฟ เดือนไหนวันหยุดเยอะ อากาศร้อน หรือมีญาติมาพักอาศัย ค่าใช้จ่ายก็จะเพิ่มกว่าค่าเฉลี่ยมาก คนรับผิดชอบค่าไฟย่อมรู้สึกว่าเงินไหนกระเป๋าเดือนนั้นหมดเร็วเกินไป หรือถ้าไม่แยกกระเป๋ากัน ทุกอย่างรวมกันก็ต้องมีการทำบัญชีร่วมกัน ไม่เช่นนั้นก็จะเกิดความสับสนได้ว่าเงินที่ได้มาเอาไปใช้อะไรบ้าง

          จริง ๆ แล้วมีอีกทางเลือกหนึ่งที่ดูจะประนีประนอมกว่า 2 ทางเลือกแรก นั่นก็คือมากำหนดกันว่าค่าใช้จ่ายส่วนกลางมีอะไรบ้าง
แล้วทำการเปิดบัญชีออมทรัพย์เพื่อเอาจ่ายค่าใช้จ่ายส่วนกลางไปเลย ส่วนในแต่ละเดือน ใครจะจ่ายเข้าบัญชีนี้เท่าไร ใครเป็นคนไปจ่ายบิล อันนี้สุดแล้วแต่ที่ทั้งคู่จะตกลงกันเลย

          คำถามต่อมาคือ ทั้งคู่คิดจะกำหนดงบประมาณอย่างไร

          บางคนเป็นคนละเอียด เก็บใบเสร็จทุกใบ จดค่าใช้จ่ายทุกตัว เรียกว่ารู้ยันหลักสตางค์ แต่บางคนชอบการกำหนดคร่าว ๆ เช่น ค่ากินเดือนละเก้าพัน จะขาดจะเกินนิดหน่อยก็หยวน ๆ ซึ่งงบที่ควรคุยกันตรง ๆ คือพวกค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือย เช่น ค่าสังสรรค์ปาร์ตี้ของคุณสามี หรือค่ารองเท้าแฟชั่นของคุณภรรยา กำหนดวงเงินเหล่านี้ให้ชัดเจนจะได้ไม่ต้องมากระแนะกระแหนกันว่าเธอหรือฉันใช้เงินฟุ่มเฟือย

          คำถามข้อที่ 3 คือ จะจัดการกับหนี้อย่างไร ทั้งหนี้ที่ก่อมาก่อนจะแต่งงาน และหนี้ที่จะสร้างหลังแต่งงาน      

          ทั้งคู่ควรรู้ว่าภาระหนี้ของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร บางคู่รู้แต่รายได้ของอีกฝ่าย แต่ไม่รู้ภาระหนี้ที่ติดตัวคู่ของเรามา ซึ่งอาจทำให้การกำหนดงบการใช้เงินผิดพลาดได้ นอกจากนั้น ยังมีผลต่อการสร้างหนี้ใหม่ของทั้งคู่อีกด้วย

          นอกเหนือจากการรู้ถึงภาระหนี้แล้ว ทั้งคู่ควรปรับทัศนคติในเรื่องหนี้เข้าหากันให้ได้ บางคนคิดว่าตราบใดก็ตามที่รายได้ที่เข้ามาสามารถจัดการหนี้ได้ก็มีสิทธิ์จะก่อหนี้เพิ่ม ในขณะที่บางคนก็กลัวการเป็นหนี้ หรือเสียดายที่ต้องจ่ายดอกเบี้ย มีหนี้เมื่อไรก็จะประหยัดรัดเข็มขัดเพื่อรีบใช้หนี้ให้หมด ๆ ไป หากสไตล์การเป็นหนี้ของทั้ง 2 คนไม่ตรงกันก็รีบจูนคลื่นเข้าหากันก่อนจะทะเลาะกันด้วยเรื่องของการเป็นหนี้

คำถามเรื่องเงินก่อนใช้ชีวิตคู่

          คำถามข้อสุดท้าย คือ จะจัดการกับเงินออมอย่างไร


          ตอนก่อนจะมีชีวิตคู่ ทุกคนมีความฝันและเป้าหมาย อยากซื้อบ้าน ซื้อรถ หรืออยากไปเที่ยวต่างประเทศ ซึ่งเป้าหมายเหล่านี้มีระยะเวลาและความสำคัญที่แตกต่างกัน ส่งผลทำให้ที่เก็บเงินนั้นต่างกัน

          หากเป็นเป้าหมายระยะยาวมาก ๆ การเก็บในรูปของหุ้นช่วยให้มีโอกาสได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น ในขณะที่เป้าหมายที่สำคัญมาก ๆ พลาดไม่ได้ อาจจะต้องเก็บไว้ในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ นอกจากนั้น ยังมีเรื่องของความสามารถในการรับความเสี่ยงที่แตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล เมื่อเริ่มมีการใช้ชีวิตคู่ร่วมกันจึงควรเปิดใจพูดคุยกันว่าเป้าหมายอะไรที่เป็นเป้าหมายส่วนตัวที่ยังอยากคงไว้ เป้าหมายใดเมื่อมีคู่แล้วต้องการลด หรือตัดออก

          ในขณะเดียวกันมีเป้าหมายอะไรที่งอกขึ้นมาเป็นความฝันที่ร่วมกันของ 2 คน หากกำหนดได้ชัดเจนแล้ว ก็ชวนคุยกันต่อว่าเพื่อให้เป้าหมายต่าง ๆ สำเร็จได้นั้น ควรจะแบ่งเงินไปลงทุนในสินทรัพย์ประเภทใดบ้าง และเดือนละเท่าใด แน่นอนว่าความเสี่ยงที่รับได้ของแต่ละคนนั้น ส่วนหนึ่งก็เป็นการตัดสินใจส่วนตัว ไม่สามารถเอาความสามารถในการรับความเสี่ยงมาบวกกันแล้วหารสองได้ ดังนั้น ต้องคุยกันด้วยความเข้าใจ หากความชอบเสี่ยงแตกต่างกันมาก ๆ ก็ควรแยกกระเป๋าเงินลงทุนส่วนตัว และเงินลงทุนส่วนกลางให้ชัดเจน

          ชีวิตคู่จะไปได้ดีทั้งคู่ก็ต้องสื่อสารให้ทั้ง 2 ฝ่ายเข้าใจว่าอีกฝ่ายคิดอย่างไร ซึ่งเรื่องเงินก็ควรจะเป็นเรื่องหนึ่งที่คุยกันได้บ่อย ๆ อย่ารอให้มีปัญหาเงินขาดมือ หรือหนี้ท่วมแล้วค่อยคุยกัน เพราะบางทีนอกจากจะทำให้ปัญหาที่เล็กจะกลายเป็นปัญหาใหญ่แล้ว พอถึงวันนั้นเข้าจริง ๆ อาจจะไม่สามารถคุยกันได้ดี ๆ เพราะมัวแต่โทษกันไปโทษกันมา พาลแต่จะทำให้เสียความรักกันเปล่า ๆ

          K-Expert Action
          • ออมก่อนใช้ โดยให้ทั้งคู่นำเงินเข้าบัญชีออมทรัพย์ทุกเดือนเพื่อใช้จ่ายส่วนกลาง เช่น ค่าน้ำ ค่าไฟ
          • จดบันทึกรับ-จ่าย เพื่อให้ทราบว่าแต่ละเดือนใช้จ่ายไปกับเรื่องอะไรบ้าง เป็นจำนวนเงินเท่าไร


ขอขอบคุณข้อมูลจาก


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
4 คำถามเรื่องการเงินที่ต้องคุยให้เข้าใจ ก่อนใช้ชีวิตคู่ อัปเดตล่าสุด 17 ตุลาคม 2561 เวลา 15:16:14 6,569 อ่าน
TOP