
การออมเพื่อวัยเกษียณเริ่มมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังเริ่มมีความกังวลกันมากขึ้นว่าสังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ หรือ Ageing Society ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า
วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561 เว็บไซต์ Money2Know รายงานว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรประมาณ 65.9 ล้านคน ซึ่งเป็นผู้สูงอายุสูงถึง 10.5 ล้านคน ทำให้ไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Ageing Society) แล้ว เพราะมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 10% ของประชากรทั้งประเทศ พร้อมทั้งคาดว่าไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ ในปี 2564 จากจำนวนประชากรผู้สูงอายุที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 20% และเข้าสู่การเป็นสังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์แบบ ในปี 2574 จากผู้สูงอายุที่จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 28%
สำหรับจำนวนผู้สูงอายุที่มากขึ้น ทำให้มีเรื่องน่าเป็นห่วง คือ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ระดับหนี้ภาคครัวเรือนได้สูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยจากข้อมูลการสำรวจหนี้ครัวเรือนไทยปี 2560 ของสำนักเศรษฐกิจการคลัง พบว่าปัจจุบันครัวเรือนไทยกว่า 91.1% ยังคงมีหนี้สินอยู่ และมีเพียง 8.9% ที่ไม่มีหนี้สิน โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้เพื่อการใช้จ่ายทั่วไป 32.4% รองลงมา 30.5% เป็นหนี้เพื่อซื้อทรัพย์สิน เช่น บัตรเครดิต
ขณะที่สถิติของเครดิตบูโร ก็ชี้ว่ากลุ่ม Gen Y ที่อายุต่ำกว่า 30 ปี มีแนวโน้มเป็นหนี้บัตรเครดิต ใช้สินเชื่อส่วนบุคคลมากขึ้น และมีหนี้เสียเร็วด้วย จึงถือว่าน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะคนวัยนี้อาจมีการยับยั้งชั่งใจน้อยในการจับจ่ายใช้สอย รวมทั้งคนไทยยังมีหนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 29-30 ปี โดยมีอัตราส่วนถึง 1 ใน 5 ซึ่งไม่นับรวมหนี้นอกระบบ หนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ และหนี้ กยศ. ที่มีการผิดนัดชำระหนี้สูงเช่นกัน

ทั้งนี้ จากการติดตามแผนผู้สูงอายุแห่งชาติ ทุกช่วง 5 ปี 10 ปี และ 15 ปีที่ผ่านมา ข้อมูลบอกว่าคนไทยเตรียมความพร้อมเพื่อเป็นผู้สูงอายุน้อยมาก หรือไม่เตรียมเลย โดยมีการเตรียมความพร้อมไม่ถึง 30% จึงเป็นความท้าทายอย่างมากของประเทศ ในการรับมือกับสังคมสูงอายุให้ได้ ดังนั้น การวางแผนทางการเงินด้วยการออม จึงเป็นขั้นตอนสำคัญเพื่อเตรียมพร้อมการเป็นผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ ที่สามารถพึ่งพาตนเองและสร้างประโยชน์ต่าง ๆ ให้กับสังคมได้ โดยไม่เป็นภาระและดำเนินชีวิตในบั้นปลายอย่างมีความสุข
วันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2561 เว็บไซต์ Money2Know รายงานว่า ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรประมาณ 65.9 ล้านคน ซึ่งเป็นผู้สูงอายุสูงถึง 10.5 ล้านคน ทำให้ไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (Ageing Society) แล้ว เพราะมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปมากกว่า 10% ของประชากรทั้งประเทศ พร้อมทั้งคาดว่าไทยจะเป็นสังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ ในปี 2564 จากจำนวนประชากรผู้สูงอายุที่จะเพิ่มขึ้นเป็น 20% และเข้าสู่การเป็นสังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์แบบ ในปี 2574 จากผู้สูงอายุที่จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 28%
สำหรับจำนวนผู้สูงอายุที่มากขึ้น ทำให้มีเรื่องน่าเป็นห่วง คือ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ระดับหนี้ภาคครัวเรือนได้สูงขึ้นอย่างก้าวกระโดด โดยจากข้อมูลการสำรวจหนี้ครัวเรือนไทยปี 2560 ของสำนักเศรษฐกิจการคลัง พบว่าปัจจุบันครัวเรือนไทยกว่า 91.1% ยังคงมีหนี้สินอยู่ และมีเพียง 8.9% ที่ไม่มีหนี้สิน โดยส่วนใหญ่เป็นหนี้เพื่อการใช้จ่ายทั่วไป 32.4% รองลงมา 30.5% เป็นหนี้เพื่อซื้อทรัพย์สิน เช่น บัตรเครดิต
ขณะที่สถิติของเครดิตบูโร ก็ชี้ว่ากลุ่ม Gen Y ที่อายุต่ำกว่า 30 ปี มีแนวโน้มเป็นหนี้บัตรเครดิต ใช้สินเชื่อส่วนบุคคลมากขึ้น และมีหนี้เสียเร็วด้วย จึงถือว่าน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เพราะคนวัยนี้อาจมีการยับยั้งชั่งใจน้อยในการจับจ่ายใช้สอย รวมทั้งคนไทยยังมีหนี้ค้างชำระเกิน 90 วัน โดยเฉพาะในกลุ่มอายุ 29-30 ปี โดยมีอัตราส่วนถึง 1 ใน 5 ซึ่งไม่นับรวมหนี้นอกระบบ หนี้สหกรณ์ออมทรัพย์ และหนี้ กยศ. ที่มีการผิดนัดชำระหนี้สูงเช่นกัน


โดย รศ. นพ.พินิจ กุลละวณิชย์ อนุกรรมาธิการกิจการผู้สูงอายุและผู้ช่วยเลขาธิการสภากาชาดไทย กล่าวว่า เราต้องเตรียมตัวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุตั้งแต่เกิด ซึ่งการออมเป็นเรื่องสำคัญ จึงอยากให้สอนการออมในภาควิชาบังคับทุกคณะ ควรให้ออมตั้งแต่เริ่มทำงาน และแนะนำวิธีการออมเงินสำหรับผู้ที่เริ่มต้นทำงาน ดังนี้
• หักเงินอย่างน้อย 10% ไว้ออมทันที โดยตัดออกไปอัตโนมัติเก็บไว้อีกบัญชี และกรณีที่มีรายรับ 30,000 บาท แต่มีรายจ่ายเดือนละ 15,000 บาทสามารถนำ 15,000 ที่เหลือออมได้ทันที
• เปิดบัญชีสำรองฉุกเฉิน ให้มีเงินพอ 6 เดือนของรายจ่าย เช่น รายจ่ายต่อเดือน 15,000 บาท (รายได้ 30,000 บาท) ต้องมีเงินสำรอง 90,000 บาท ฝากไว้ในที่ที่มีความเสี่ยงน้อย อย่างตราสารหนี้ (พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้)
• ถ้าต้องเสียภาษี ควรซื้อ RMF, LTF เท่าที่มีสิทธิ์หักภาษีเงินได้ และไม่เกิน 15% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 50,000 บาทต่อปี โดย RMF ถอนต่อเมื่ออายุ 55 ปี และฝากแล้ว 5 ปี ส่วน LTF ถอนเมื่อซื้อแล้ว 7 ปี ซื้อเป็นเดือน ๆ
• ถ้ายังมีเงินเหลือ ซื้อกองทุนรวม (Mutual Fund) หากอายุน้อยซื้อกองทุนรวมที่เน้นหุ้น ถ้าอายุมากซื้อกองทุนรวมที่เน้นตราสารหนี้ ในกรณีที่ไม่มีความต้องการใช้เงิน ควรซื้อกองทุนที่เอาปันผลไปทบต้น (ดอกเบี้ยทบต้น)

• ยิ่งเริ่มเร็วยิ่งดี
• ต้องมีแผน เช่น จะเกษียณเมื่อไหร่ เหลือเวลาอีกกี่ปี เพราะยิ่งเริ่มวางแผนเร็วยิ่งมีโอกาสในการลงทุนและวางอนาคตการใช้เงินได้ดี
• วางแผนว่าจะต้องใช้เงินหลังเกษียณเท่าไหร่
• ต้องคำนวณเงินเฟ้อ เช่น จะเกษียณตอนอายุ 60 ปี หากตอนนี้เราอายุ 30 แสดงว่ามีเวลาเตรียมตัวอีก 30 ปี นั่นหมายถึงว่า เงิน 20,000 บาทตอน 30 ปี จะเป็น 20,000×2.4 (เงินเฟ้อ) หรือ 48,000 บาท
• จะอยู่อีกนานเท่าไหร่หลังเกษียณ
• หากเริ่มวางแผนช้ามีเวลาน้อย จะถึงเป้าหมายยอดเงินที่ตั้งใจ ต้องลงทุนมากในแต่ละเดือน แต่หากมีเวลามาก จะลงทุนต่อเดือนน้อยกว่า
เช่นเดียวกับ นางสาวนฤมล บุญสนอง วิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย มองว่า การวางแผนการเงินวัยเกษียณนั้น เป็นสิ่งที่ต้องทำตลอดชีวิต และทุกคนควรเริ่มต้นวางแผนเพื่อให้สุขกาย สุขใจ และสุขเงินในบั้นปลาย ซึ่งทุกคนสามารถทำได้หากรู้วิธีการและมีวินัย ดังนี้

แยกระหว่างสิ่งที่อยากได้ (Wants) และจำเป็น (Needs) ด้วยการเรียงสำคัญของเป้าหมาย โดยใช้หลัก
SMART
Specific = ชัดเจน
Measurable = วัดผลได้
Accountable = ทำสำเร็จ
Realistic = บรรลุผลได้
Time bound = มีกำหนดเวลา
วิธีการกำหนดเป้าหมายในวัยเกษียณ เช่น เป้าหมายระยะยาว อยากมีเงินใช้จ่าย 15,000 ต่อเดือนหลังเกษียณ และอยากใช้เงินเดือนละ 15,000 บาทต่อไปจนสิ้นอายุขัย หากตั้งเป้าว่าจะมีอายุถึง 90 ปี หมายความว่าต้องมีเงินไม่น้อยกว่า 5,400,000 บาท จึงจะสามารถตอบโจทย์การใช้ชีวิตหลังเกษียณของเราได้ เมื่อได้เป้าหมายแล้ว ก็ต้องทำการวางแผนว่าเราจะสร้างเงินจำนวนนี้ทันเวลาได้อย่างไร
2. สำรวจตนเอง ด้วยสูตรคำนวณง่าย ๆ เบื้องต้นว่าคุณอยู่รอดหรือยัง ?
อัตราส่วนความอยู่รอด (Survival Ratio) คือ รายได้จากการทำงาน บวกรายได้จากสินทรัพย์ หารด้วยรายจ่าย หากผลลัพธ์มากกว่า 1 หมายความว่าสามารถอยู่รอดได้ด้วยตนเอง
อัตราส่วนความมั่งคั่ง (Wealth Ratio) คือ รายได้จากสินทรัพย์ หารด้วยรายจ่าย หากผลลัพธ์มากกว่า 1 เท่ากับว่ามีอิสรภาพทางการเงิน
โดยเราต้องดูว่างบดุลชีวิตของเรามีฐานะทางการเงินเป็นอย่างไร เช่น ดูความสมดุลระหว่างทรัพย์สินและหนี้ สิ่งที่จะทำให้ความมั่งคั่งเกิด คือ เริ่มรู้จักนิสัยการใช้จ่ายของตัวเอง หากลดค่าใช้จ่ายที่สามารถลดได้ เช่น ค่าทำผม เสื้อผ้า จะทำให้มีเงินเหลือเงินออมมากขึ้น
3. จัดทำแผนการเงิน
โดยเริ่มคำนวณคร่าว ๆ ว่าตอนนี้ เราขาดเงินอีกเท่าไหร่ จึงจะมีเงินออมเพียงพอในวัยเกษียณ ด้วยนำจำนวนที่ต้องใช้ ลบด้วยจำนวนเงินที่มีแล้ว จะได้ตัวเลข เงินขาด/เงินเกิน หากเงินเกินหมายความว่าคุณมีอิสรภาพทางการเงินแล้ว แต่หากเงินขาดจะต้องมีการลดค่าใช้จ่าย ทำงานหารายได้เพิ่ม และวางแผนการลงทุนตั้งแต่วันนี้
ด้วย 3 พลังสร้างเงินออมก้อนโต คือ แบ่งเงินออมเล็ก ๆ แต่ละงวด ยิ่งมากยิ่งดี จำนวนงวดที่ต้องออมต่อเนื่อง ยิ่งมากยิ่งดี และอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยต่องวด ยิ่งเยอะยิ่งดี
ปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ ด้วย 4 รู้ สู่ความมั่งคั่ง คือ
- รู้หา หาเงินเพิ่ม เสริมรายได้
- รู้เก็บ เก็บออมก่อนใช้จ่าย
- รู้ใช้ ใช้เงินอย่างฉลาด สร้างโอกาสเพิ่มเงินออม
- รู้ขยายดอกผล ลงทุนถูกที่ความมั่งมีงอกงาม เพราะการลงทุนทำให้ถึงเป้าหมายได้เร็วขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยสร้างวินัยการออมอย่างสม่ำเสมอ คือ การลงทุนด้วยหลัก DCA (Dollar Cost Averaging) การออมสม่ำเสมอหรือทยอยออม ด้วยจำนวนเงินที่เท่า ๆ กัน (รายสัปดาห์ รายเดือน รายไตรมาส) DCA มีข้อดีคือช่วยฝึกวินัยในการลงทุนอย่างต่อเนื่อง เฉลี่ยต้นทุนในการลงทุน ไม่พลาดโอกาสในการลงทุนทุกภาวะตลาด และตัดอารมณ์ออกจากการตัดสินใจลงทุน

• เงินฝากออมทรัพย์ ให้ผลตอบแทนประมาณ 0.125%-0.75%
• เงินฝากประจำปี 1 ปี ให้ผลตอบแทนประมาณ 0.75%-1.75%
• สลากออมทรัพย์ ให้ผลตอบแทนประมาณ 0.4%-1.5%
• หุ้นสหกรณ์ทองคำ ให้ผลตอบแทนประมาณ 4.56%
• ตราสารหนี้ ให้ผลตอบแทนประมาณ 5.15%
• กองทุนรวม ให้ผลตอบแทนประมาณ 2%-10%
• กองทุน RMF ให้ผลตอบแทนประมาณ 7%-11%
• กองทุน LTF ให้ผลตอบแทนประมาณ 9%-11%
• หุ้น ให้ผลตอบแทนประมาณ 11.61%
การ "ลงทุน" ทำให้ถึงเป้าหมายให้เร็ว แต่ "วินัย" จะทำให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ ความรู้ความเข้าใจเรื่องการออม การวางแผนการเงิน การลงทุน เป็นเรื่องของคนทุกวัย เพื่อสร้างรากฐานทางการเงินที่ดี นำไปสู่ชีวิตเกษียณสุข ที่มีสุขภาพทางการเงินเข้มแข็ง และมีความสุขได้อย่างที่ควรจะเป็น
ภาพและข้อมูลจาก
