ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย แลนด์มาร์กใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เปิดประสบการณ์เรียนรู้เรื่องการเงินแบบล้ำสมัย ภายใต้บรรยากาศดี ๆ วิวสวย แบบนี้ไม่ไปไม่ได้แล้ว หากใครผ่านมาแถวสะพานพระราม 8 คงต้องเคยเห็นอาคารหลังใหญ่ของธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ปัจจุบันเปลี่ยนโฉมใหม่เป็น "ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย" จนกลายเป็นแลนด์มาร์กแห่งใหม่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา รู้ไหมว่าที่นี่เกิดจากการนำโรงพิมพ์ธนบัตรเก่าซึ่งสร้างมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2512 มาปรับเป็นพื้นที่สาธารณะเชื่อมโยงผู้คนให้เข้าถึงง่ายขึ้น ด้วยแนวคิด "แหล่งการเรียนรู้ที่มีชีวิต" (living learning-hub) ภายใต้บรรยากาศสบาย ๆ ที่รวมเอาห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ ห้องประชุม และร้านกาแฟริมแม่น้ำ มาไว้ในที่เดียวกัน เชื่อว่าหลายคนคงเริ่มสงสัยกันแล้วว่าศูนย์การเรียนรู้ฯ แห่งนี้ มีความพิเศษยังไง วันนี้กระปุกดอทคอมจะพาทุกคนไปเปิดประตู เจาะลึกดูส่วนต่าง ๆ กันว่าแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่นี้ มีความน่าสนใจอะไรบ้าง ทำไมจึงไม่ควรพลาดที่จะแวะมาเยี่ยมชมกันสักครั้ง
งานนี้จะมีใครที่ให้ความรู้และเล่าประวัติความเป็นมาของสถานที่แห่งนี้ได้ดีไปกว่า
คุณประภากร วรรณกนก ผู้อำนวยการฝ่ายส่งเสริมความรู้ทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่จะพาเราเดินชมและเล่าให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของศูนย์การเรียนรู้ฯ แห่งนี้ ว่า เกิดจากการที่แบงก์ชาติต้องการสร้างพื้นที่สาธารณะให้ประชาชนเข้ามาหาความรู้และใช้งานได้จริง ๆ จึงเริ่มแนวคิดที่จะทำแหล่งการเรียนรู้ ที่เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนทุกกลุ่ม ซึ่งโจทย์ที่คิดกันก็คือ ทำยังไงก็ได้ให้คนทั่วไปรู้สึกเป็นมิตร เข้าถึงง่าย และมองเรื่องเศรษฐกิจ การเงิน เป็นสิ่งที่ใกล้ตัวมากขึ้น
จึงได้เริ่มต้นนำอาคารเก่าอายุ 50 ปี ของโรงพิมพ์ธนบัตร บางขุนพรหม โรงพิมพ์ธนบัตรแห่งแรกของไทย ซึ่งถูกปล่อยร้างไว้ ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรมานาน มาปัดฝุ่นใหม่ เป็นศูนย์การเรียนรู้สุดเก๋ ที่ผสมผสานระหว่างโครงสร้างสถาปัตยกรรมดั้งเดิมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว กับการออกแบบสมัยใหม่ ที่เน้นความโปร่งโล่งสบาย สามารถมองเห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยาและสะพานพระราม 8 จากภายในศูนย์การเรียนรู้ได้เลย
"วัตถุประสงค์ของศูนย์การเรียนรู้ฯ ก็เพื่อที่จะเป็นศูนย์กลางความรู้ทางด้านเศรษฐกิจ การเงิน อย่างบูรณาการ นอกจากจะมีพื้นที่สำหรับนั่งศึกษาค้นคว้าแล้ว ก็ยังมี Co-working space ให้ประชาชนเข้ามานั่งแลกเปลี่ยนพูดคุยต่อยอดความรู้ แล้วก็มีห้องประชุมขนาด 80-90 ที่นั่ง เพื่อที่ประชาชนจะมานั่งประชุม จัดเสวนาทางด้านเศรษฐกิจการเงินได้อีกด้วย" คุณประภากร เล่าให้ฟังขณะพาเยี่ยมชม ทั้งนี้ พื้นที่ภายในศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแหงประเทศไทย แบ่งออกเป็น 3 โซนหลัก ได้แก่ ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ และพื้นที่จัดกิจกรรมอื่น ๆ ซึ่งแต่ละโซนมีความน่าสนใจดังนี้
ห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย
สำหรับโซนแรกที่อยากจะแนะนำทุกคน คือ
"ห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย" ที่เป็นเหมือนคลังความรู้ด้านเศรษฐศาสตร์ การเงิน การธนาคารของประเทศไทยเลยก็ว่าได้ บรรยากาศของทีนี่ชวนให้เราอยากนั่งอ่านหนังสือ นั่งทำงานเป็นที่สุด ด้วยคอนเซ็ปต์ Co-working Space ที่ออกแบบให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ซึ่งมีทั้งสื่อมัลติมีเดียแบบครบครัน, ห้อง IDEA Box สำหรับใช้ประชุมงาน หรืออ่านหนังสือร่วมกัน
อีกอย่างที่น่าจะถูกใจหลาย ๆ คน ก็คือ ปลั๊กไฟ ที่มีบริการแทบจะทุกจุดในห้องสมุดเลยก็ว่าได้ หรือถ้าใครมาถึงแล้วเกิดปิ๊งไอเดียดี ๆ ขึ้นมา อยากจะนั่งทำงานซะตอนนั้นเลย แต่ลืมหยิบโน้ตบุ๊กมาจากบ้าน ที่นี่ก็มีคอมพิวเตอร์ไว้คอยบริการอีก เหมาะสุด ๆ กับคนที่อยากมานั่งทำงาน อ่านหนังสือชิล ๆ ภายใต้บรรยากาศสบาย ๆ แบบนี้
และพิเศษสุด ๆ กับห้อง Econ Connect ที่เปิดไว้รองรับนักเศรษฐศาสตร์ นักการเงินโดยเฉพาะ ให้สามารถเข้ามายืมหนังสือจากห้องสมุดชั้นนำทั่วโลกกว่า 7,000 แห่ง หมายความว่า ถ้าใครอยากจะยืมหนังสือจากห้องสมุดของมหาวิทยาลัย Harvard หรือ MIT ก็ไม่ต้องไปไกลถึงอเมริกาอีกแล้ว เพียงมาที่ห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ก็สามารถยืมได้เลย
พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย
ถัดจากห้องสมุดแล้ว โซนต่อมาที่เป็นไฮไลท์ห้ามพลาดของที่นี่ก็คือ
"พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย" ที่ตั้งอยู่ในบริเวณของ
"ห้องมั่นคง" ซึ่งแต่ก่อนเคยเป็นที่เก็บธนบัตรและสิ่งของสำคัญ เช่น กระดาษสำหรับพิมพ์ธนบัตร เอกสารสำคัญของราชการ รวมทั้งทรัพย์สินมีค่า จึงต้องสร้างผนังของห้องไว้หนาถึง 80 เซนติเมตร และมีประตูนิรภัยป้องกันแน่นหนา
คุณประภากร เผยถึงเรื่องราวในอดีตของห้องมั่นคงให้ฟังว่า แต่ก่อนจะมีพนักงานของแบงก์ชาติเพียง 3 คนเท่านั้นที่ถือกุญแจเปิดห้องมั่นคงได้ โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าผู้ถือกุญแจทั้ง 3 คนนั้นเป็นใคร และเมื่อถึงยามวิกฤติต่าง ๆ เช่น รัฐประหาร ทั้ง 3 คนนี้ก็จะหายตัวไป เพื่อความมั่นคงของทรัพย์สินประเทศชาติ แต่ทว่าในวันนี้ แบงก์ชาติได้ตัดสินใจเปลี่ยน
"พื้นที่ต้องห้าม" ให้กลายเป็นจุดเชื่อมต่อที่ใคร ๆ ก็สามารถเดินเข้าไปหาความรู้ได้อย่างเต็มอิ่ม
สำหรับการเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์นั้น จะต้องติดต่อเจ้าหน้าที่บริเวณเคาน์เตอร์ หรือเข้าไปจองการเข้าชมพิพิธภัณฑ์ล่วงหน้าได้ที่ เว็บไซต์ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย โดยการเข้าชมจะมีวิทยากรนำเที่ยวเป็นรอบ ๆ ใช้เวลารอบละประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง มีทั้งหมดวันละ 6 รอบด้วยกัน จำกัดรอบละไม่เกิน 20 คน เริ่มตั้งแต่เวลา 10.00 น. จนถึง 14.30 น. หรือใครจะดาวน์โหลดแอปพลิเคชั่นผ่านสมาร์ทโฟนชื่อว่า "BOT-Museum" เอาไว้เป็นไกด์ส่วนตัวพาเดินชมนิทรรศการและให้ความรู้ที่น่าสนใจเพิ่มเติมด้วยก็ได้
เมื่อเดินเข้ามาในพิพิธภัณฑ์แล้ว เราจะได้พบกับ
"นิทรรศการโรงพิมพ์ธนบัตร" เป็นส่วนแรก ที่นี่เคยเป็นที่ตั้งของเครื่องพิมพ์ธนบัตรแห่งแรงของประเทศ แต่ปัจจุบันจัดเป็นนิทรรศการบอกเล่าเรื่องราว ขั้นตอนการผลิตธนบัตรชนิดต่าง ๆ
ถัดมาจะเป็น
"นิทรรศการเงินตรา" ที่พาเราย้อนเวลาไปเรียนรู้วิวัฒนาการของเงินตราและประวัติศาสตร์เศรษฐกิจไทยตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน แถมยังเป็นที่รวบรวมธนบัตรและเหรียญไทยไว้มากที่สุดอีกด้วย น่าจะถูกอกถูกใจเหล่านักสะสมเหรียญและธนบัตรหายากต่าง ๆ แน่นอน
และในส่วนสุดท้ายที่ห้ามพลาดเลยอย่าง "นิทรรศการบทบาทหน้าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย" ที่เป็นเหมือนประตูพาเราไปรู้จักกับแบงก์ชาติมากขึ้น ว่ามีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจอย่างไร ความน่าสนใจอยู่ตรงที่เราสามารถจำลองให้ตัวเองเป็นผู้กำหนดนโยบายการเงิน เช่น อัตราดอกเบี้ย ค่าเงิน ได้เองผ่านสื่อมัลติมีเดียที่ทันสมัย ช่วยให้เราได้เรียนรู้เรื่องการเงินที่ว่ายากให้เข้าใจแบบง่าย ๆ รับรองได้เลยว่า ใครเข้ามาในห้องนี้ นอกจากจะได้ความรู้ ความเข้าใจ ในบทบาทหน้าที่ของแบงก์ชาติกลับไปแล้ว ยังได้ความสนุกเพลิดเพลินจากเกมต่าง ๆ ที่มีให้เล่นอีกด้วย
ต้องยอมรับว่าภายในพิพิธภัณฑ์ มีการออกแบบของห้องและสื่อการเรียนรู้ต่าง ๆ ได้ดี สอดแทรกเกมเข้ามาให้เราได้เล่นร่วมกันไปตลอด ทำให้การเที่ยวชมรู้สึกเพลิดเพลิน และเป็นส่วนหนึ่งกับสิ่งที่กำลังนำเสนอจนลืมเวลาไปเลย อ้อ...อีกหนึ่งความพิเศษก็คือ นิทรรศการทั้งหมดถูกออกแบบให้รองรับผู้พิการด้วย ทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้นั่งวีลแชร์และมีอักษรเบรลล์ตามจุดต่าง ๆ ไว้ให้ผู้พิการทางสายตาได้เรียนรู้ไปพร้อมกัน
พื้นที่จัดกิจกรรมหมุนเวียนอื่น ๆ
นอกจากนิทรรศการภายในพิพิธภัณฑ์แล้ว ยังมีส่วนนิทรรศการอื่น ๆ บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่จะสลับหมุนเวียนมาจัดแสดงกันตลอดทั้งปีเลย เปรียบเสมือนว่าการเรียนรู้ก็เป็นการเดินทางที่ไม่มีวันสิ้นสุด ส่วนใครที่เยี่ยมชมห้องสมุด และหาความรู้ในพิพิธภัณฑ์กันจนจุใจแล้ว อยากออกมานั่งชิล พักเหนื่อย รับบรรยากาศดี ๆ ก็แวะมานั่งจิบกาแฟและทานอาหารว่างที่ร้านกาแฟริมน้ำ พร้อมดื่มด่ำกับวิวหลักล้าน ที่สามารถมองเห็นสะพานพระราม 8 และแม่น้ำเจ้าพระยาได้แบบสวยงามสุด ๆ
การเดินทางมายังศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย
เห็นบรรยากาศที่นี่แล้วก็ถ้าอยากมาชมด้วยตาของตัวเองก็เดินทางมาได้เลยที่ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งอยู่ใกล้สะพานพระราม 8 โดยสามารถเดินทางมาได้หลายวิธี - รถเมล์ : สามารถนั่งรถโดยสารประจำทางมายังบริเวณใกล้เคียงได้หลายสาย
- เรือโดยสาร : จะลงที่ท่าเรือเทเวศร์ หรือ ท่าเรือวัดสามพระยาก็ได้
- รถยนต์ : ถ้าขับรถมาจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ให้มุ่งหน้าถนนราชดำเนินกลาง เบี่ยงซ้ายเข้าสู่ถนนราชดำเนินนอก แล้วเลี้ยวซ้ายที่แยก จ.ป.ร. เข้าสู่ถนนวิสุทธิกษัตริย์ และวิ่งตรงไปเรื่อย ๆ ยังถนนพระราม 8 ศูนย์การเรียนรู้ฯ จะอยู่ทางซ้ายมือ ใกล้สะพานพระราม 8 ตรงข้ามกับวังบางขุนพรหม
ใครขับรถส่วนตัวมาก็สามารถนำมาจอดที่ศูนย์การเรียนรู้ฯ ได้เลย เพราะที่นี่มีที่จอดรถรองรับกว่า 150 คัน คิดค่าบริการชั่วโมงละ 20 บาท สำหรับรถยนต์ ส่วนรถจักรยานยนต์คิดค่าบริการชั่วโมงละ 10 บาท
ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดบริการวันไหนบ้าง
ศูนย์การเรียนรู้ฯ เปิดให้เข้าชมได้ทุกวันอังคาร-อาทิตย์ (ปิดวันจันทร์) ห้องสมุดพระองค์เจ้าวิวัฒนไชย ให้บริการตั้งแต่เวลา 09.30-20.00 น. ส่วนร้านกาแฟ จะปิดให้บริการเวลา 19.00 น. ขณะที่พิพิธภัณฑ์ธนาคารแห่งประเทศไทย, ห้องค้นคว้าจดหมายเหตุ และร้านสินค้าที่ระลึก จะปิดให้บริการเวลา 16.30 น. แนะนำว่าใครที่สนใจอยากไปเที่ยวชมละก็ ให้รีบเลย เพราะทางศูนย์การเรียนรู้ฯ จะเปิดให้บริการในส่วนพิพิธภัณฑ์ฟรีไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2561 หลังจากนั้นจะมีการเก็บค่าบริการ
ส่วนใครที่คาดว่าจะมาใช้บริการบ่อย ๆ แนะนำให้สมัครสมาชิกไว้เลย ปีละ 1,500 บาท พร้อมรับสิทธิพิเศษใช้บริการห้องสมุด ห้องมัลติมีเดียฟรี ใช้ Wifi ฟรี เข้าพิพิธภัณฑ์ฟรี หรือถ้าจะใช้บริการห้อง Idea Box ก็ได้ส่วนลด 50% แถมยังจอดรถได้ฟรี 4 ชั่วโมง
สุดท้าย คุณประภากร ฝากเชิญชวนทุกคนว่า อยากให้มีโอกาสมาสัมผัสพื้นที่แห่งนี้สักครั้ง และหวังว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ประชาชนมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องการเงินมากขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่ม Gen Y ที่ยังขาดวินัยทางการเงิน ทำให้มีหนี้สูงมาก ซึ่งก็เชื่อว่าศูนย์การเรียนรู้ฯ แห่งนี้ จะสร้างแรงบันดาลใจให้ประชาชนตระหนักถึงการออมเงิน และวางแผนการเงินในอนาคตได้ดีขึ้น ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของแบงก์ชาติ ที่ต้องการเผยแพร่ความรู้แก่ประชาชน
"เนื่องในโอกาสครบรอบ 75 ปี ของธนาคารแห่งประเทศไทย ก็อยากจะเชิญชวนประชาชนทุกกลุ่มให้เข้ามาเยี่ยมชมศูนย์การเรียนรู้ฯ ไม่ว่าจะเป็นห้องสมุดหรือพิพิธภัณฑ์ก็ตาม ซึ่งหวังว่าทุกคนจะเข้าใจด้านเศรษฐกิจการเงิน และบทบาทหน้าที่ของแบงก์ชาติมากขึ้น ส่วนเราก็จะยังทำหน้าที่ให้ความรู้กับประชาชนต่อไปค่ะ" คุณประภากร กล่าวทิ้งท้าย
ใครที่มีเวลาว่างหรืออยากศึกษาหาความรู้เรื่องการเงิน ลองแวะมาเยี่ยมชม เช็กอินที่นี่ดูสิ รับรองว่าน่าจะถูกใจใครหลายคนเลย เพราะที่นี่เป็นแหล่งศึกษาหาความรู้ ค้นคว้าข้อมูล ด้านเศรษฐกิจ การเงินแบบครบวงจร ที่ผสมผสานกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ได้ลงตัวแบบสุด ๆ