แจงการปรับขึ้นค่า BTS หลังโซเชียลบ่นอุบแพงไปหรือไม่ ชี้เป็นไปตามสัญญาสัมปทาน-นำมาเป็นต้นทุนในการบริหารจัดการเดินรถ
หลังจากที่ BTS ได้ปรับอัตราค่าโดยสารจากสายสีลม บางหว้า ไปสายสุขุมวิท ราคา 59 บาท ทุกเส้นทาง ทำโซเชียลโอดแพง ชี้พัฒนาแต่ราคา ไม่พัฒนาคุณภาพ ตามที่ได้นำเสนอข่าวไปก่อนหน้านี้นั้น (อ่านข่าว : จุก BTS ปรับราคาใหม่ ค่าโดยสารสูงสุด 59 บาท โซเชียลโอดแพงเกินไป)
โดยได้ติดป้ายแสดงราคาค่าโดยสารบริเวณสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอสทุกสถานี พร้อมระบุอัตราค่าโดยสาร ในการเดินทางไปยังสถานีแต่ละแห่งอย่างชัดเจน เพื่อแจ้งให้ผู้โดยสารทราบและสามารถชำระค่าตั๋วโดยสารได้ถูกต้อง ซึ่งการคิดอัตราค่าโดยสารจะเริ่มต้นสถานีแรกที่ราคา 16 บาท และปรับเพิ่มตามระยะทางซึ่งจะไม่เกิน 44 บาท หากโดยสารตั้งแต่ 8 สถานีขึ้นไป จะคิดอัตราเท่าเดิมคือ 44 บาท
อย่างไรก็ตามสำหรับผู้โดยสารที่เดินทางต่อเนื่องในเส้นทางส่วนต่อขยายสายสุขุมวิท จากสถานีอ่อนนุช-สถานีสำโรง และส่วนต่อขยายสายสีลม จากสถานีวงเวียนใหญ่-สถานีบางหว้า จะต้องชำระค่าโดยสารเพิ่ม ซึ่งในส่วนของส่วนต่อขยาย คิดในอัตราเดียวคือ 15 บาท เมื่อรวมกันจึงเป็นราคา 59 บาท ตามที่แสดงในตารางราคาบริเวณสถานีบีทีเอส
ขณะที่ใน Pantip
ซึ่งเป็นเว็บบอร์ดชื่อดัง ก็ได้ตั้งกระทู้ถึงอัตราค่าโดยสารบีทีเอสใหม่ว่า
แพงเกินจริงหรือไม่ โดยมีการเปรียบเทียบกับค่าครองชีพของคนไทย
และมีการเปรียบเทียบกับราคาในต่างประเทศ
ซึ่งหากเปรียบเทียบกับการจัดการเดินรถในต่างประเทศจะเห็นว่าส่วนใหญ่มีการพัฒนาเส้นทางโดยรอบของสถานีในเชิงพาณิชย์
ซึ่งสามารถนำรายได้ดังกล่าวมาเป็นทุนในการบริหารและจัดการเดินรถได้
แต่ประเทศไทยยังไม่มีการพัฒนาพื้นที่เพื่อการพาณิชย์มากนัก จึงจำเป็นต้องนำรายได้จากการจัดเก็บค่าโดยสารมาเป็นต้นทุนในการบริหารจัดการเดินรถไฟฟ้าบีทีเอส หากย้อนไปดูสัญญาสัมปทานระหว่างกรุงเทพมหานคร กับ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สัญญาระบุไว้ว่าบริษัทอาจปรับค่าโดยสารที่เรียกเก็บเป็นคราว ๆ ไป และสามารถปรับค่าโดยสารได้ทุก 18 เดือน แต่ต้องไม่เกินเพดานอัตราค่าโดยสารขั้นสูงสุด ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 60.31 บาท โดยมีการปรับราคาค่าโดยสารครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2556 นับรวมเวลาก็กว่า 4 ปีแล้ว
ภาพจาก นิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค, bts.co.th
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
fm91bkk.com
แต่ประเทศไทยยังไม่มีการพัฒนาพื้นที่เพื่อการพาณิชย์มากนัก จึงจำเป็นต้องนำรายได้จากการจัดเก็บค่าโดยสารมาเป็นต้นทุนในการบริหารจัดการเดินรถไฟฟ้าบีทีเอส หากย้อนไปดูสัญญาสัมปทานระหว่างกรุงเทพมหานคร กับ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) สัญญาระบุไว้ว่าบริษัทอาจปรับค่าโดยสารที่เรียกเก็บเป็นคราว ๆ ไป และสามารถปรับค่าโดยสารได้ทุก 18 เดือน แต่ต้องไม่เกินเพดานอัตราค่าโดยสารขั้นสูงสุด ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 60.31 บาท โดยมีการปรับราคาค่าโดยสารครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน 2556 นับรวมเวลาก็กว่า 4 ปีแล้ว
ภาพจาก นิตยสารฉลาดซื้อ มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค, bts.co.th
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
fm91bkk.com