x close

คุณค่าของเงิน 5 บาท กับผลลัพธ์แห่งความสุข

คุณค่าของเงิน 5 บาท กับผลลัพธ์แห่งความสุข
คุณค่าของเงิน 5 บาท กับผลลัพธ์แห่งความสุข

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก คุณ lovemankku สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

          ในวันที่ข้นแค้นจนเงินหมดกระเป๋า เศษเงินเพียง 5 บาท ที่ก้มลงเก็บได้จากพื้น กับความรู้สึกท้อแท้และหมดอาลัยตายอยาก เศษเงิน 5 บาท กลับเป็นแรงผลักดันอันยิ่งใหญ่ สู่ผลลัพธ์สุดซึ้ง

          ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ปัจจัยหลักในการดำเนินชีวิตไม่เว้นแม้แต่ปัจจัย 4 อย่าง เสื้อผ้า อาหาร ยารักษาโรค และที่อยู่อาศัย ก็ยังคงต้องการ “เงิน” เป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการซื้อหา แต่ในเมื่อโชคไม่เข้าข้างให้ทุกคนเกิดมารวยเท่ากัน ความพยายามเท่านั้นจึงจะเป็นสะพานก้าวไปสู่จุดหมายได้ คุณ lovemankku สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ผู้ที่เคยผ่านความยากลำบาก และมีเศษเงินเพียง 5 บาทอยู่ในมือ จึงขอมาบอกเล่าประสบการณ์ชีวิตในวันที่ก้าวผ่านความลำบาก และได้พบกับสิ่งที่ทำให้สุขใจที่สุด เรื่องราวจะเป็นอย่างไร ไปติดตามกันนะคะ ..





คุณค่าของเงิน 5 บาท โดย คุณ lovemankku


          ผมก้มดูเหรียญ 5 บาทในมือที่เพิ่งเก็บได้เมื่อกี้ ผมน้ำตาซึม ในหัวมันตื้อไปหมด คิดอยู่อย่างเดียวว่า 5 บาทนี้ มันจะซื้ออะไรที่พอจะอิ่มท้องได้บ้าง ผมไม่ได้กินอะไรมาตั้งแต่เช้าแล้ว

          เงิน 20 บาทสุดท้าย ผมให้แฟนไปแล้วตั้งแต่เมื่อเช้า เป็นเงินก้อนสุดท้ายที่ได้จากการเอาโทรศัพท์เครื่องเก่าไปจำนำ ในใจยังกังวลว่า เงิน 20 บาทนี้แฟนจะพอกินข้าวเที่ยงไหม แล้วตอนเย็นเราสองคนจะกินอะไร

          นั่นเป็นเหตุการณ์เมื่อหลายปีก่อน เป็นเหมือนจุดที่เวลาหยุดนิ่งให้ผมคิดอะไรหลาย ๆ อย่าง เป็นช่วงเวลาที่ซึมเศร้า รู้สึกว่าตัวเองไม่มีคุณค่า ไม่มีงานทำ ไม่มีเงิน ไม่มีใครช่วยได้

          แต่ก็เป็นช่วงเวลาที่มีค่า ทำให้รู้ถึงคุณค่าของคนที่อยู่ด้วยกันมาตลอดได้ดียิ่งขึ้น ไม่เคยมีคำต่อว่าด่าทอ แม้เราจะอดบ้าง อิ่มบ้าง เธอก็ไม่เคยบ่น ไม่เคยมาซึมเศร้าให้ผมคิดมาก มีแต่พูดให้กำลังใจและหวังว่าสักวัน เราจะมีวันพรุ่งนี้ที่ดีขึ้น

          ผมไม่มีเงินเลย ไม่มีทุนสักบาท เป็นคนเรียนไม่เก่ง จบออกมาด้วยเกรด 2.14 / Low Profile หลังจากตั้งสติได้ ก็เริ่มหาสมัครงานใหม่ แต่ไม่ได้สมัครตำแหน่งวิศวกรตามที่ผมจบออกมา เพราะผมรู้แล้วว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่เหมาะกับผม ผมทำแล้วไม่มีความสุข ผมไม่อยากทำงานด้านนี้แล้ว

          ผมหาสมัครงานตำแหน่ง Graphic Designer ไปทั่วขอนแก่น แม้ฐานเงินเดือนของตำแหน่งนี้จะต่ำแค่ 7,500 บาท แต่ก็ไม่มีแม้แต่ที่เดียว ที่เรียกผมสัมภาษณ์ ใช่ ! .. ไม่มีแม้แต่จะเรียกสัมภาษณ์ นั่นก็เพราะผมจบวิศวะมา ไม่ได้จบมาด้านนี้

          นึกย้อนกลับไป ก็ขอขอบคุณที่ไม่รับผมเข้าทำงาน ถ้ามีสักที่รับผมเข้าทำงาน ผมคงไม่ได้มาอยู่จุดนี้ เมื่อไม่มีที่ไหนรับผมเข้าทำงาน สิ่งเดียวที่ผมมีคือ Notebook เครื่องเก่า ๆ ที่ไปกู้บัตรเงินสดมาสมัยที่ยังทำงานอยู่ (ซึ่งนั้นก็ทำให้ผมติด blacklist อยู่หลายปี เพราะไม่มีปัญญาส่ง)

          งานไม่มี เงินไม่มี มี Notebook เครื่องเดียว โชคดี ที่ผมอยู่ใกล้มหาวิทยาลัยมีอินเทอร์เน็ตให้ใช้ฟรี ผมก็นั่งเล่นเน็ตค้น Google ไปเรื่อย ๆ ศึกษาอะไรไปเรื่อยเปื่อย สิ่งเดียวที่ผมพอจะมีฝีมืออยู่บ้างคือทำงานด้าน Graphic Design, ผมเริ่มศึกษาเพิ่มเติมด้านเขียนโปรแกรมด้วยตัวเอง, CSS, HTML, php, SEO, Magento แล้วก็เริ่มต้นทำเว็บขายของ ซึ่งก็แทบจะขายไม่ได้

          แต่สิ่งที่ได้ก็คือ งานเว็บที่ออกมาดูแตกต่างจากเว็บอื่น ๆ ในไทยที่มีในสมัยนั้นมาก เริ่มมีคนติดต่อเข้ามาจ้างงาน แต่ Notebook ผมมันก็รวนและเพี้ยนจนทำงานแทบไม่ได้แล้ว

          เงินเดือนแฟนผมออก จึงรวบรวมเงินได้ 4,000 ไปซื้ออะไหล่คอมพิวเตอร์มือสองมาประกอบ ได้เครื่องเสร็จ ไม่มีเงินซื้อจอ โชคดีที่มีร้านเน็ตแถวนั้น ประกาศขายจอมือสองในราคา 500 บาท นั้นเป็นจุดเริ่มต้นที่ผมเริ่มมีอุปกรณ์เริ่มทำงาน

          งานเริ่มเข้ามา จาก 3-4 เดือนมีงานมาสักครั้ง ก็เริ่มเยอะขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้ทำงานมากกว่าปีละ 100 Projects โดยที่ไม่เคยต้องออกไปหางานเลย และมีงานรอทำตลอด

          เรามีความฝันเหมือนกับทุก ๆ คน เราอยากมีบ้าน อยากมีรถ อยากมีชีวิตที่สบายขึ้น

          พอเริ่มมีกำลังเงินบ้าง เราจึงตัดสินใจทุ่มกำลังที่มีทั้งหมดสร้างบ้าน แต่ไม่ใช่บ้านของเรา เราสร้างบ้านให้พ่อกับแม่ก่อน ผ่านไป 6 เดือน บ้านหลังน้อยก็เสร็จ พ่อ-แม่ มีความสุขมาก เราหมดเงิน... เหนื่อยมาก ทุกบาท ทุกสตางค์ เราใส่ไปในบ้านหลังนี้หมด เรารับรู้แล้วว่า การจะมีบ้านสักหลังมันแสนยากเย็น และเหนื่อยสุด ๆ

          จำได้ว่าตอนนั้น ค้างค่าช่างอยู่ 23,000 บาท มา 3 เดือนแล้ว เราขอทยอยจ่ายจนงวดสุดท้าย เราจ่ายจนมีเงินติดบัญชีแค่ร้อยกว่าบาท เรารู้ว่าเมื่อสร้างบ้านหลังนี้แล้ว การจะมีบ้านเป็นของตัวเองนั้นคงเป็นเรื่องยากมาก เพราะเราหมดกำลังแล้ว เรายังคงอยู่บ้านเช่าหลังเล็ก ๆ ต่อไป

          ในช่วงที่พีคมาก ๆ ผมนอนตี 3 และ ตื่น 7 โมงเช้าทุกวัน ผมสร้างบริษัทที่นโยบายคือ "ใช้ความสุขทำกำไร" เราเข้าทำงานตอน 9 โมงเช้า ทำงานน้อยกว่าที่อื่น 1 ชม. หยุดเสาร์-อาทิตย์ อยู่กันเหมือนครอบครัว ทำงานดี ๆ ให้กับลูกค้า ลูกค้ามีความสุข เราทำงานอย่างมีความสุข ค่าตอบแทนคุ้มค่า ให้มาทำงานเหมือนมาเล่นสนุก แต่ได้เงินกลับไปในอัตราที่คุ้มค่า

          เมื่อไม่มีทุนจงใช้ความรู้เป็นทุน เมื่อไม่เก่งจงศึกษาและขยันให้มากกว่าคนอื่น ผมเชื่อเสมอว่าไม่มีอะไรยาก มีแต่สิ่งที่เราไม่รู้

          ผมยังคงเป็นมนุษย์ 200% อยู่ทุกวัน การเลิกงาน ตี 1 ตี 2 เป็นเรื่องปกติ แม้งานจะหนักแต่ผมก็มีความสุขดี เพราะเราได้ทำสิ่งที่เรารัก งานไม่ใช่ภาระ แต่เป็นงานอดิเรก ที่ทำแล้วได้เงิน ผมเชื่อว่าพลังของคนเราไม่มีที่สิ้นสุด และงานหนักไม่เคยทำให้ใครตาย

          วันนี้ผ่านมา 3 ปี นับแต่สร้างบ้านหลังแรกให้พ่อกับแม่ เราคิดว่าเราคงไม่มีกำลังและทำไม่ได้แล้ว แต่ในที่สุดวันนี้ก็สำเร็จ  เรามีบ้านของเราแล้วครับ บ้านที่มาพร้อมกับสมาชิกใหม่ของเรา ลูกที่มาพร้อมกับบ้านหลังใหม่

          รอยยิ้มแห่งความดีใจ ของคนที่อยู่กับผมมา 10 ปี มันทำให้ผมมีความสุขจริง ๆ





เรื่องที่คุณอาจสนใจ
คุณค่าของเงิน 5 บาท กับผลลัพธ์แห่งความสุข อัปเดตล่าสุด 5 พฤศจิกายน 2557 เวลา 16:30:42 5,120 อ่าน
TOP