เงินในบัญชีหาย เพราะถูกมิจฉาชีพดูดเงินออกจากบัญชีไปใช้ เจอแบบนี้จะทำอย่างไรได้บ้าง พร้อมแนะนำวิธีป้องกันบัญชี-บัตรเครดิตถูกแฮก แม้การทำธุรกรรมออนไลน์จะให้ความสะดวกอย่างมากในยุคปัจจุบัน แต่ก็ต้องแลกกับความเสี่ยงถูกโจรกรรมข้อมูลได้ง่ายขึ้น อย่างที่เราได้ยินข่าวกันบ่อย ๆ ว่า มีเคสเงินในบัญชีหายไปทั้งที่เจ้าของบัญชีไม่ได้เบิกถอนหรือซื้อของใด ๆ เลย ซึ่งบัญชีส่วนใหญ่ที่โดนแฮกมักเป็นบัญชีบัตรเดบิต หรือบัตรเครดิตที่เคยผูกไว้กับแอปพลิเคชัน เกม หรือบริการต่าง ๆ บนออนไลน์ แล้วถ้าเราเป็นหนึ่งในผู้เสียหายจะต้องทำอย่างไรนะ ? หากพบว่าเงินหายไปจากบัญชีให้ตรวจสอบและดำเนินการได้ดังนี้ เมื่อพบบัญชีไหนกำลังถูกถอนเงิน หรือถอนออกไปบางส่วนแล้ว แต่ยังมีเงินเหลือติดบัญชีอยู่ แนะนำให้เจ้าของบัญชีรีบถอนเงินหรือโอนเงินไปยังบัญชีอื่น ๆ เพื่อไม่ให้มิจฉาชีพถอนจนเกลี้ยงบัญชี เนื่องจากไม่อาจทราบได้ว่าคนร้ายนำข้อมูลบัญชีหรือบัตรของเรามาจากช่องทางใด ดังนั้นถ้าเป็นไปได้ให้เข้าไปยกเลิกการผูกบัญชี-บัตรในแอปพลิเคชันหรือบริการต่าง ๆ บนออนไลน์ทั้งหมดไว้ก่อน รวมทั้งเปลี่ยนพาสเวิร์ดในอีเมลหรือเว็บไซต์ต่าง ๆ ด้วย เตรียมเอกสารหลักฐานต่าง ๆ ให้พร้อม เช่น แคปภาพหน้าจอหรือพรินต์รายการเดินบัญชีที่มีความเคลื่อนไหวผิดปกติออกมา โดยทำเครื่องหมายตรงยอดเงินที่ผิดปกติ พร้อมกับถ่ายเอกสารไว้อย่างน้อย 2 ชุด สมุดบัญชีธนาคาร สำเนาบัตรประจำตัวประชาชนของเรา เอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี) นำหลักฐานทั้งหมดเข้าแจ้งความที่สถานีตำรวจในพื้นที่ใกล้บ้าน เพื่อความสะดวกในการเดินทางไปติดต่อ นำใบแจ้งความและเอกสารต่าง ๆ ไปแจ้งปฏิเสธการทำรายการ และยื่นแสดงหลักฐานต่อธนาคาร เพื่อให้ทางธนาคารดำเนินการต่อไป สำหรับคนที่ยังไม่เจอเหตุการณ์เช่นนี้ก็ควรหาทางป้องกันตัวไม่ให้ตกเป็นเหยื่อและลดความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้น ด้วยวิธีการต่อไปนี้ ควรใช้บริการแจ้งเตือนของธนาคารเพื่อตรวจสอบยอดเงินเข้า-ออกจากบัญชี ไม่ว่าจะมาจากการใช้บัตรเดบิต หรือเบิกถอนผ่านแอปพลิเคชัน รวมทั้งยอดเงินที่เกิดจากการใช้จ่ายบัตรเครดิต เพราะหากเราไม่ได้เป็นผู้ทำธุรกรรมนั้น ๆ จะได้รู้ตัวโดยเร็ว โดยเข้าไปที่แอปฯ ของธนาคารแล้วตั้งค่าวงเงินการถอน การโอน การจ่ายบิลต่าง ๆ ทั้งบัญชีธนาคารและบัตรเดบิตต่อครั้ง ต่อวัน ให้เป็นจำนวนที่น้อยลง อย่างน้อยก็ลดความเสียหายจากการถูกโกงได้ หรือจะตั้งเป็น 0 บาทเลยก็ได้ พอต้องการใช้งานค่อยเปลี่ยนแปลงวงเงินอีกครั้ง เมื่อทำแบบนี้จะไม่มีใครสามารถถอนเงินออกจากบัญชีเราได้ ใครเคยผูกบัญชีธนาคารหรือบัตรไว้กับแอปพลิเคชัน เฟซบุ๊ก เกม หรือพ่วงกับบริการออนไลน์ต่าง ๆ ควรทำการยกเลิกทั้งหมด และไม่ผูกบัญชีหรือบัตรไว้กับธุรกรรมออนไลน์ใด ๆ หากไม่จำเป็น โดยเฉพาะบัตรเดบิตที่จะถูกตัดเงินทันที ต่างจากบัตรเครดิตซึ่งยังมีระยะเวลาในการร้องเรียนหรือยกเลิกการใช้จ่าย หลายคนใช้บัญชีเงินเดือนหรือบัญชีที่มีเงินก้อนผูกกับแอปฯ หรือเอาไว้จ่ายค่าบริการต่าง ๆ บนออนไลน์ ซึ่งถ้าถูกแฮกขึ้นมาย่อมมีความเสี่ยงที่จะสูญเสียเงินเกือบทั้งหมด ดังนั้นถ้าจำเป็นต้องผูกบัตรเพื่อทำธุรกรรมออนไลน์ก็ควรเปิดบัญชีสำหรับการใช้จ่ายหรือช้อปปิ้งออนไลน์โดยเฉพาะ แล้วฝากเงินติดบัญชีไว้นิดหน่อย เมื่อจะซื้อของค่อยโอนเงินเข้าบัญชีอีกที แบบนี้จะได้ไม่ต้องเสียเงินก้อนใหญ่ นอกจากนี้ยังต้องระมัดระวังการผูกบัตรกับแพลตฟอร์มที่มีความเสี่ยง เช่น เกมออนไลน์ แพลตฟอร์มที่ไม่มีการยืนยันตัวตนก่อนเข้าใช้งาน หรือไม่มี OTP ไม่ว่าจะเป็นรหัสผ่านเข้า Mobile Banking, Internet Banking, อีเมลส่วนตัวที่ผูกกับบัญชี หรือรหัสบัตรเดบิต-บัตรเครดิต ควรเปลี่ยนรหัสเป็นประจำทุก 3 เดือน โดยมีเทคนิคการตั้งรหัสให้ปลอดภัยและเดาได้ยาก เช่น ไม่ใช้เลขซ้ำกัน เช่น 1111, 5555 ไม่ใช้เลขเรียงกัน เช่น 123456, 987654 ไม่ใช้รหัสที่เกี่ยวข้องกับตัวเอง เช่น เลขวันเกิด เลขบัตรประชาชน ชื่อ-นามสกุล กรณีเป็นรหัสผ่านเว็บไซต์หรืออีเมล ควรใช้ภาษาอังกฤษทั้งตัวพิมพ์ใหญ่และตัวพิมพ์เล็ก ผสมกับตัวเลข เพื่อให้ยากต่อการเดา รหัส CVV คือ เลข 3 หลักที่อยู่หลังบัตร ซึ่งเป็นรหัสเพื่อการยืนยันตัวตนในการชำระเงินออนไลน์ และหากมิจฉาชีพได้รหัสนี้ไปก็มีโอกาสที่จะนำไปซื้อสินค้าได้ง่าย ๆ โดยเราสามารถป้องกันได้ด้วยการจดจำตัวเลขหรือจดบันทึกรหัสไว้ในที่ปลอดภัย แล้วขูดรหัส CVV ด้านหลังบัตรทิ้ง หรืออาจจะใช้วิธีติดสติ๊กเกอร์ปิดรหัส CVV ไว้ก็ได้เช่นกัน เพื่อป้องกันมิจฉาชีพแอบถ่ายรูปด้านหน้าและหลังบัตรแล้วนำไปใช้จ่ายในโลกออนไลน์ มิจฉาชีพอาจปลอม SMS ไลน์ หรืออีเมลของธนาคาร มาหลอกสอบถามข้อมูลส่วนตัว ข้อมูลบัตรเครดิต ซึ่งโดยปกติแล้วธนาคารไม่มีนโยบายส่ง SMS หรืออีเมลมาสอบถามข้อมูลลูกค้า ดังนั้นหากใครได้รับข้อความที่ผิดปกติให้สอบถามจากธนาคารก่อน อย่ากรอกข้อมูลโดยเด็ดขาด แต่ถ้าเผลอบอกไปแล้วให้รีบเปลี่ยนรหัสต่าง ๆ ทันที เมื่อต้องการเข้าเว็บไซต์ใด โดยเฉพาะเว็บไซต์ที่ต้องใช้บริการทางการเงิน ให้พิมพ์ชื่อ url ของเว็บไซต์เอง เพราะอาจมีเว็บไซต์ปลอมที่หน้าตาคล้ายกันมาก แต่มีข้อแตกต่างตรงชื่อเว็บไซต์เพียงเล็กน้อย ซึ่งเว็บปลอมเหล่านี้ล่ะที่หลอกเอาข้อมูลของเราไป เดี๋ยวนี้คนร้ายนิยมใช้วิธีส่ง SMS มาเชิญชวนให้รับเงิน โดยอ้างว่าได้โอนเงินเข้าบัญชีของคุณแล้ว หรือมีข้อเสนอให้กู้เงินดอกเบี้ยต่ำ แล้วให้เราคลิกลิงก์ต่อ ตรงนี้ห้ามกดรับข้อความหรือคลิกลิงก์เด็ดขาด เพราะเมื่อกดเข้าไปและกรอกข้อมูลจะเสี่ยงต่อการถูกแฮกบัญชีต่าง ๆ รวมทั้งข้อมูลในโทรศัพท์ด้วย คนที่มีบัญชีธนาคารหลายเล่มควรตรวจสอบความเคลื่อนไหวของบัญชีเป็นประจำ อย่าปล่อยทิ้งไว้นานโดยไม่ปรับสมุดหรือเช็กยอดเงิน เพราะเราจะไม่ทราบเลยว่าบัญชีของเราถูกแฮกไปหรือยัง หากพบความผิดปกติให้แจ้งธนาคารทันที ในเมื่อภัยทางไซเบอร์ใกล้ตัวและมีทริกใหม่ ๆ เกิดขึ้นทุกวัน ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่เราต้องรู้ให้เท่าทันกลโกงของมิจฉาชีพ เพื่อป้องกันตัวเองในทุกวิถีทาง และบอกต่อคนอื่น ๆ ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อได้โดยง่าย 10 วิธีป้องกันบัตรเครดิต-เดบิตถูกขโมยไปใช้ ! ปลอดภัยจากมิจฉาชีพ เตือนภัย ! โกงเงินแบบใหม่ ดูดเงินเกลี้ยงบัญชีธนาคารในชั่วพริบตา จริงหรือหลอก !? เครื่องดูดเงินจากบัตรเครดิต แตะปุ๊บเงินในบัตรหายปั๊บ ไทยพาณิชย์ เตือน ! ระวังอีเมลปลอม แนะวิธีสังเกตง่าย ๆ ไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ ซื้อของออนไลน์แล้วโดนโกง ทำอย่างไรถึงจะได้เงินคืน ? ซื้อของออนไลน์ แต่ได้สินค้าไม่ตรงปก ทำยังไงถึงจะได้เปลี่ยนของ-คืนเงิน ? ขอบคุณข้อมูลจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย เฟซบุ๊ก ศคง. 1213 เฟซบุ๊ก กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี - บก.ปอท. เฟซบุ๊ก สรยุทธ สุทัศนะจินดา กรรมกรข่าว รายการข่าวเช้าช่องวัน กรุงเทพธุรกิจ
แสดงความคิดเห็น