ประกันสังคมก็มี สวัสดิการบริษัทก็ใช้ได้ ถ้าอย่างนั้นเราควรทำประกันสุขภาพเพิ่มเติมอีกไหม ลองมาอ่านให้หายสงสัย
แม้คุณจะมีประกันสังคม สวัสดิการบริษัท หรือบัตรเงินบัตรทองที่สามารถให้ความคุ้มครองกับคุณได้ระดับหนึ่ง แต่ก็อาจไม่เพียงพอต่อภาระค่าใช้จ่าย หรือบางคนทำงานเป็นฟรีแลนซ์ หรือเปิดกิจการส่วนตัว ไม่มีสวัสดิการเหมือนพนักงานบริษัท เมื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน เจ็บป่วยจนไม่สามารถทำงานได้ ก็เดือดร้อนทั้งด้านเวลาและการเงิน ดังนั้นการสร้างหลักประกัน เช่น การทำประกันสุขภาพเพิ่มเติม เพื่อรับมือกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันเหล่านี้ จึงเป็นสิ่งสำคัญที่ควรคิดถึง
ประกันสุขภาพ คือ การประกันภัยที่บริษัทประกันจะจ่ายค่าเสียหายชดเชยให้ผู้ซื้อ เมื่อจำเป็นต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล โดยความเจ็บป่วยดังกล่าวอาจเกิดจากอุบัติเหตุ หรือโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ
ประกันสุขภาพ มีหลายประเภท ได้แก่ ประกันสุขภาพและอุบัติเหตุรายบุคคล และประกันสุขภาพและอุบัติเหตุแบบกลุ่ม (ประกันสุขภาพสำหรับพนักงาน โรงเรียนทำประกันสุขภาพให้คุณครู หรือนักเรียน เป็นต้น)
ความคุ้มครองที่คุณจะได้รับจากการทำประกันสุขภาพ ได้แก่
1. ค่าห้องพักโรงพยาบาล ค่าอาหาร ค่าบริการต่าง ๆ ของโรงพยาบาลที่จำเป็นในการรักษา
2. ค่าทำการรักษาด้วยเครื่องมือแพทย์
3. ค่าที่ปรึกษาทางการแพทย์
4. ค่าอุปกรณ์ทางการแพทย์
5. ค่าใช้จ่ายในการรักษาทำฟัน
6. ค่าชดเชยระหว่างต้องนอนโรงพยาบาล (กรณีเสียรายได้)
แม้ว่าคุณจะทำงานประจำ มีสวัสดิการจากบริษัท คุณก็ควรตรวจสอบความคุ้มครองของสวัสดิการนั้น ๆ ว่าครอบคลุมตามที่คุณต้องการหรือไม่ ให้ความคุ้มครองครอบครัวของคุณมากแค่ไหน และเพียงพอหรือไม่ หากไม่เพียงพอต่อความต้องการก็ควรพิจารณาซื้อประกันสุขภาพเพิ่มเติมเพื่อให้มั่นใจว่าคุณและคนที่คุณรักมีหลักประกันที่มากพอค่ะ
แต่คุณจะทราบได้อย่างไร ว่าคุณควรหาหลักประกันเพิ่มเติมหรือไม่ ? ต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ควรพิจารณาว่าคุณควรซื้อประกันสุขภาพเพิ่มเติมหรือไม่ค่ะ
1. ความเหมาะสม
หากคุณได้รับสวัสดิการจากบริษัทที่ทำงานอยู่ ควรตรวจสอบรายละเอียดความคุ้มครองว่ามีความเหมาะสม และครอบคลุมต่อการใช้ชีวิตของคุณหรือไม่ อย่างไร หากเงื่อนไขความคุ้มครองที่ได้รับไม่เพียงพอกับตัวคุณและครอบครัว ก็ควรซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติม
2. ค่าใช้จ่าย
สิ่งสำคัญอีกอย่างคือค่าใช้จ่าย หากเบี้ยประกันสูงมาก และคุณมีความคุ้มครองที่มากพอจากสวัสดิการอื่น ๆ ที่ได้รับ ก็ควรพิจารณาลดทอนความคุ้มครองให้เหมาะสมเพื่อลดค่าใช้จ่ายนั่นเองค่ะ
3. วิถีชีวิต
หากความคุ้มครองที่มีอยู่เหมาะสม แต่ด้วยอาชีพการงาน และวิถีการใช้ชีวิต มีความจำเป็นทำให้คุณต้องการซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติม การซื้อประกันสุขภาพก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งเช่นกัน
4. ตรงกับความเสี่ยง
บางคนเลือกทำประกันสุขภาพตามเพื่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สมควรทำอย่างยิ่งค่ะ ประกันสุขภาพจะคุ้มค่าที่สุดสำหรับเราต่อเมื่อเป็นความคุ้มครองที่เหมาะสมและตรงกับความเสี่ยงในชีวิตประจำวันของตัวคุณ หากคุณทำงานที่ต้องเดินทางไปพบลูกค้า คุณจะมีความเสี่ยงที่จะเจออุบัติเหตุมากกว่าพนักงานที่ทำงานในออฟฟิศทั่วไป หรือหากครอบครัวมีประวัติโรคร้ายแรง คุณควรเจาะจงซื้อความคุ้มครองเฉพาะโรคเผื่อไว้ได้ เพื่อให้ความคุ้มครองที่ตรงกับความต้องการนั่นเองค่ะ
5. เบี้ยประกันสุขภาพไม่มีการปันผล
การประกันสุขภาพเป็นการซื้อความคุ้มครองรูปแบบจ่ายแล้วจ่ายเลยค่ะ ไม่สามารถนำมายื่นลดภาษีได้ และไม่มีเงินปันผล ดังนั้นยิ่งเป็นสิ่งสำคัญที่คุณควรจะไตร่ตรองให้ดีเสียก่อนที่จะลงทุน โดยตรวจสอบความเหมาะสมของเงื่อนไขข้อกำหนด และความคุ้มค่าของประกันที่ซื้อค่ะ
หมายเหตุ : การประกันสุขภาพ จะไม่ให้ความคุ้มครองโรค อาการเจ็บป่วยบางอย่าง ได้แก่ โรคผิวหนัง สิว ฝ้า โรคตาที่เกิดจากการใช้คอนแทคเลนส์ โรคผมร่วง การบำบัดยาเสพติด บุหรี่ เหล้า การรักษาโดยใช้แพทย์แผนโบราณ หรือการแพทย์ทางเลือก และโรคทางพันธุกรรม เป็นต้น โดยข้อกำหนดส่วนนี้จะต้องตรวจสอบกับตัวแทนประกันภัยของคุณให้ละเอียดอีกครั้งก่อนตัดสินใจซื้อประกันสุขภาพค่ะ
สุดท้ายนี้ คุณจะเลือกทำประกันสุขภาพหรือไม่ คุณควรจะต้องดูที่ความต้องการของตัวคุณเป็นหลักก่อน ควรศึกษาเงื่อนไขข้อกำหนดการรับประกัน และข้อยกเว้นของแต่ละบริษัทอย่างละอียด เพื่อให้มั่นใจว่าคุณจะได้รับผลประโยชน์สูงสุด และมีค่าใช้จ่ายเหมาะสมกับฐานะการเงินของคุณด้วยค่ะ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Rabbit Finance
