วางแผนค่าใช้จ่าย แลกเงินสดให้พอใช้ รวมถึงวางแผนการใช้บัตรเดบิต บัตรเครดิตในต่างประเทศ และทำประกันการเดินทางไว้เพื่อความอุ่นใจ ถือเป็นเทคนิคที่จะช่วยให้เราเที่ยวต่างประเทศได้อย่างสุดคุ้ม
1. วางแผนค่าใช้จ่าย แลกเงินสดไว้ให้พอใช้ และเตรียมบัตรเดบิต-บัตรเครดิตให้พร้อม
สำหรับบัตรเดบิต เราสามารถกดเงินสดจากบัตรเดบิตไว้ใช้จ่ายได้ ซึ่งข้อดีของการใช้บัตรเดบิตคือเป็นการหักเงินสดออกจากบัญชีของเราทันทีที่ใช้จ่าย ทำให้เราไม่มีหนี้ และยังเป็นการจำกัดการใช้จ่ายตามเงินที่มีอยู่ในบัญชีอีกด้วย แต่การกดเงินสดจากบัตรเดบิตจะมีการคิดค่าธรรมเนียมการกดเงินสดที่เครื่องเอทีเอ็มในต่างประเทศ และมีค่าความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนไม่เกิน 2.5% นอกจากนี้ อาจมีค่าธรรมเนียมการทำรายการที่ธนาคารเจ้าของเครื่องเอทีเอ็มเรียกเก็บด้วย
ส่วนบัตรเครดิตมีไว้เผื่อฉุกเฉิน หรือเอาไว้ใช้รูดซื้อของชิ้นใหญ่ ๆ ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวก ทำให้เราไม่ต้องพกเงินสดจำนวนมากซึ่งอาจจะเสี่ยงต่อการสูญหายได้ แถมยังได้คะแนนสะสมเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยควรสำรองบัตรเครดิตไว้มากกว่า 1 ใบ เมื่อต้องเดินทางไปต่างประเทศ แต่การรูดบัตรเครดิตต้องระมัดระวังในเรื่องของภาระหนี้ที่จะตามมาหลังจากการท่องเที่ยว คือเที่ยวกลับมาแล้วต้องมานั่งใช้หนี้ หากใช้จ่ายเกินความจำเป็น ดังนั้น ควรมีวินัยในการใช้บัตรเครดิต โดยใช้จ่ายแต่พอดี และนำเงินไปชำระแบบเต็มจำนวนและตรงเวลาทุกครั้งเมื่อถึงกำหนดชำระเงิน
2. เช็กวงเงินบัตรเครดิตและโทรแจ้ง Call Center หรือศูนย์บัตรเครดิตของสถาบันการเงินที่ใช้บริการก่อนเดินทาง
ทั้งนี้ ก่อนการเดินทาง แนะนำให้โทรศัพท์ไปแจ้ง Call Center หรือศูนย์บัตรเครดิตของสถาบันการเงินที่ใช้บริการว่าเราจะนำบัตรเครดิตไปใช้ในต่างประเทศ เพราะบางบัตรเครดิตอาจมีการโทรศัพท์มาตรวจสอบในช่วงที่รูดบัตรว่ามีการใช้งานจริงหรือไม่ ซึ่งจะทำให้เราเสียค่าใช้จ่ายในการรับสายเพิ่มขึ้น หรืออาจจะไม่สามารถรูดบัตรเครดิตได้เลยหากไม่มีการแจ้งการเดินทางไปใช้บัตรที่ต่างประเทศไว้ล่วงหน้า นอกจากนี้ แนะนำให้ถ่ายรูปบัตรเครดิตทุกใบเก็บไว้ เผื่อกรณีที่เราทำบัตรหายจะได้แจ้งอายัดบัตรได้ทันที
3. เปรียบเทียบระหว่างการชำระเป็นเงินบาทกับชำระเป็นเงินสกุลท้องถิ่น เมื่อรูดบัตรเครดิตในต่างประเทศ
การชำระเป็นเงินสกุลท้องถิ่นนั้น โดยส่วนใหญ่จะได้อัตราแลกเปลี่ยนที่ถูกกว่า ทำให้เราประหยัดเงินได้มากกว่า เพราะการใช้ Dynamic Currency Conversion (DCC) in Payment รูดเงินเปลี่ยนสกุลเป็นเงินบาท ส่วนใหญ่จะได้อัตราแลกเปลี่ยนที่แย่กว่า โดยอัตราแลกเปลี่ยนอาจสูงกว่าประมาณ 3-8% เมื่อเทียบกับการชำระในสกุลเงินท้องถิ่น หรือบางครั้งผู้ให้บริการในบางประเทศอาจมีการคิดค่าบริการ DCC Fee เพิ่มเติมจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ต้องชำระด้วย
ส่วนการชำระเป็นเงินบาทนั้น แม้ว่าส่วนมากจะได้อัตราแลกเปลี่ยนที่แพงกว่า แต่ก็มีข้อดีคือ ช่วยอำนวยความสะดวกในการคิดเป็นเงินบาท ทำให้เรารู้ว่าการใช้จ่ายครั้งนี้คิดเป็นเงินบาทจำนวนเท่าไร เราใช้เงินไปแล้วเท่าไร เกินงบประมาณที่ตั้งไว้แล้วหรือยัง และยังเป็นการควบคุมค่าใช้จ่ายในการเที่ยวได้อีกด้วย
4. การรูดบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตในต่างประเทศจะมีค่าความเสี่ยงจากการแปลงสกุลเงินต่างประเทศ
การรูดบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิตในต่างประเทศเป็นสกุลเงินต่างประเทศนั้นจะถูกเรียกเก็บเป็นเงินบาท สำหรับอัตราแลกเปลี่ยนที่ใช้อ้างอิงจะขึ้นอยู่กับอัตราแลกเปลี่ยนที่ธนาคารถูกเรียกเก็บจากบริษัทบัตรเครดิตที่ธนาคารเป็นสมาชิกอยู่ ณ วันที่มีการเรียกเก็บยอดค่าใช้จ่ายดังกล่าวกับธนาคาร
5. การทำประกันเดินทางระหว่างประเทศ
ส่วนใหญ่การทำประกันเดินทางระหว่างประเทศเมื่อไปเที่ยวต่างประเทศมาจาก 2 เหตุผลด้วยกันคือ
- เพื่อช่วยบรรเทาค่ารักษาพยาบาลกรณีฉุกเฉิน อุบัติเหตุ หรือเจ็บป่วยเมื่ออยู่ต่างประเทศ คงไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น เพราะนอกจากจะเที่ยวไม่สนุก หรือไม่ได้เที่ยวแล้ว เงินที่เตรียมไว้กิน เที่ยว อาจกลายเป็นค่ารักษาพยาบาล ซึ่งการรักษาพยาบาลที่ต่างประเทศมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้น จะดีกว่าไหม หากเราเตรียมพร้อมรับมือกับเหตุ ไม่คาดฝันได้อย่างทันท่วงที ซึ่งค่าเบี้ยของประกันเดินทางระหว่างประเทศถือว่าไม่แพง แค่หลักร้อยบาท เมื่อเทียบกับความคุ้มครองที่ได้รับ จึงอยากแนะนำให้ทำไว้เพื่อความอุ่นใจ
การเดินทางท่องเที่ยวในต่างประเทศครั้งนี้จะเป็นทริปที่น่าจดจำและสุดแสนประทับใจ หากเราได้วางแผนเตรียมพร้อมเอาไว้ล่วงหน้า ทั้งเรื่องค่าใช้จ่าย การแลกเงินสด การใช้บัตรเดบิต และบัตรเครดิตในต่างประเทศ รวมถึงการทำประกันการเดินทางไว้เพื่อความอุ่นใจ สบายใจตลอดการเดินทาง
K-Expert Action
• เช็กอัตราแลกเปลี่ยนของสกุลเงินที่จะแลกก่อนตัดสินใจแลกเงิน เพื่อความคุ้มค่าในการแลกเงิน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
