ใครอยากก้าวหน้าในหน้าที่การงาน ลองปรับนิสัยบางอย่างของตัวเองให้เหมือนกับคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตทำดูบ้าง ไม่แน่อาจจะเปลี่ยนคุณเป็นคนใหม่ที่ดีขึ้นอย่างไม่น่าเชื่อ
เคยได้ยินไหมว่าอะไรที่เราทำซ้ำ ๆ เป็นประจำทุกวัน นั่นแหละคือสิ่งที่แยกระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จ กับคนที่ล้มเหลวออกจากกัน อย่างคนระดับ CEO หรืออีกหลายคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตและหน้าที่การงาน และมีชื่อเสียงโด่งดัง พวกเขาก็มักจะมีนิสัยบางอย่างที่ทำเป็นประจำทุกวัน และนั่นก็เป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันให้เขาเหล่านั้นก้าวมาสู่จุดสูงสุด ซึ่งเว็บไซต์ inc-asean.com ก็ได้รวบรวม 17 สิ่งที่คนประสบความสำเร็จเขาทำกันทุกวัน มาแชร์ให้เราได้เอาไปปรับใช้ตามกัน
![คนประสบความสำเร็จ]( "คนประสบความสำเร็จ")
1. ตั้งค่าเว็บไซต์เริ่มต้นโดยอัตโนมัติ
ในการทำงานแต่ละวันมักมีหลายสิ่งที่เราต้องทำ ซึ่งบางครั้งด้วยความวุ่นวายและเร่งรีบก็อาจทำให้เราเผลอลืมงานบางชิ้นไป แต่ถ้าเราเริ่มจัดระเบียบตั้งแต่ช่วงเช้า ด้วยการตั้งค่าเว็บไซต์เริ่มต้นในแท็บเบราว์เซอร์ไว้ล่วงหน้าก่อนเริ่มงานว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง จัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง เราก็จะไม่หลงลืมและทำงานได้ตามแผนที่วางไว้ นอกจากนี้ ยังเป็นการช่วยให้เราไม่หลุดไปยุ่งกับเรื่องอื่นที่ไม่จำเป็นได้อีกด้วย
2. เลือกใช้ "และ" แทนคำว่า "แต่"
รู้ไหมว่าสมองของมนุษย์รู้สึกกับคำพูดแต่ละคำแตกต่างกันอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งคำว่า "แต่" ก็เป็นอีกคำที่หลายคนรู้สึกไม่ดีเมื่อได้ฟัง กลับกันกับคำว่า "และ" ที่ผู้ฟังจะรู้สึกดีมากกว่า แม้จะอยู่ในประโยคที่มีความหมายเหมือน ๆ กันก็ตาม เช่น "ฉันเห็นด้วยกับสิ่งที่เธอคิดนะ แต่ในมุมมองของฉันคิดว่าเราควรทำแบบนี้" ประโยคนี้คนฟังจะรู้สึกว่าต่อต้าน ถ้าเราลองเปลี่ยนเป็น "ฉันเห็นด้วยกับสิ่งที่เธอคิดนะ และในมุมมองของฉันคิดว่าเราควรจะทำแบบนี้" จะเห็นว่าแค่เปลี่ยนคำเชื่อมคำเดียว ก็ทำให้คนฟังรู้ดีขึ้นได้
![คนประสบความสำเร็จ]( "คนประสบความสำเร็จ")
3. ทำงานเป็นทีม
การจะประสบความสำเร็จในธุรกิจได้ก็ไม่ต่างจากการเล่นกีฬา หากผู้เล่นมีทีมเวิร์กที่ดี แน่นอนว่าทีมนั้นก็มีโอกาสเป็นผู้ชนะได้ เฉกเช่นเดียวกับเมื่อใดที่คนในทีม หรือเพื่อนรวมงานรู้สึกร่วมกันว่าอยากชนะไปด้วยกัน เรียนรู้จากความผิดพลาดไปพร้อม ๆ กัน และมีเป้าหมายอันเดียวกัน การเดินไปสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จคงไม่ใช่เรื่องยากแน่นอน
4. เช็กอีเมลแค่วันละครั้งพอ
สังเกตได้ว่าการเช็กอีเมลในแต่ละวัน ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานพอสมควรเลย เพราะยิ่งเราจดจ่ออยู่กับการเช็กอีเมลมากแค่ไหน ก็ยิ่งทำให้เครียดมากเท่านั้น ตามมาด้วยการทำงานที่แย่ลง เพราะฉะนั้น หากใครไม่ได้ทำงานที่ต้องติดต่อหรือรับข่าวสารจากคนอื่น ๆ ตลอดเวลา ลองตั้งเวลาเช็กอีเมลแค่วันละครั้ง ก็อาจจะเพียงพอแล้ว เพื่อจะได้นำเวลาที่เหลือไปพัฒนาการทำงานให้ดีขึ้น
![คนประสบความสำเร็จ]( "คนประสบความสำเร็จ")
5. หาเวลาพักสมอง
บางทีการปล่อยให้ตัวเองอยู่กับงานมากเกินไปในแต่ละวัน ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เราจึงควรหาเวลาให้ตัวเองได้พักสมอง อยู่กับตัวเองบ้าง ซึ่งคุณอาจจะลองเลือกใช้วิธีเขียนไว้บนปฏิทินงานของตัวเองว่า "ไม่ว่าง" สักอาทิตย์ละ 3 ชั่วโมง เพื่อจะได้เอาเวลานั้น มาอยู่กับตัวเอง ไม่แน่อาจจะได้ไอเดียเจ๋ง ๆ ใหม่ ๆ จากช่วงเวลานี้ก็เป็นไปได้
6. หาอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานทำบ้าง
การหมกมุ่นกับงานมากเกินไปแม้แต่ในช่วงนอกเวลางานจะทำให้เราเพลียและเครียดเสียเปล่า ๆ แบบนี้จะลองหากิจกรรมอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานทำดูบ้างก็ไม่เลวนะ อย่างการอ่านบทความใหม่ ๆ หรือออกไปหากิจกรรมสนุก ๆ ทำร่วมกันกับเพื่อนร่วมงาน เพราะนอกจากจะทำให้คุณผ่อนคลายจากงานที่ต้องเจอในแต่ละวันแล้ว ยังอาจช่วยให้ค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่คาดคิดก็ได้
![คนประสบความสำเร็จ]( "คนประสบความสำเร็จ")
7. จดบันทึกด้วยมือดูบ้าง
ปัจจุบันเรามีแอปพลิเคชั่นมากมายที่ช่วยในการจดบันทึก หรือจัดตารางงาน ตารางชีวิตต่าง ๆ แต่บางทีการหันกลับมาใช้สมุดบันทึกแบบเดิม ๆ ก็อาจจะช่วยได้ดีกว่าที่คิด เพราะเหมือนทำให้เราจำสิ่งที่จดลงไปได้ดีขึ้น โดยทุกเช้าอาจจะลองเขียน 5 สิ่งที่อยากทำให้สำเร็จในวันนี้ เพื่อเป็นเป้าหมายระยะสั้น แล้วค่อยขยับไปเขียนเป้าหมายในแต่ละเดือน หรือแต่ละไตรมาส เพื่อการพัฒนาต่อไปทีละขั้น
8. หัดใส่ใจคนรอบข้าง
หัวหน้าหลาย ๆ คนมักจะลืมนึกถึงความรู้สึกของลูกน้อง หรือเพื่อนร่วมงาน แต่หากลองใส่ใจคนรอบข้างของคุณดูบ้าง โดยการแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตน หรือใช้คำพูดที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน ไม่ว่าเขานั้นจะทำงานสำเร็จ หรือล้มเหลว สิ่งนั้นอาจจะช่วยให้พวกเขาประทับใจในตัวคุณได้ไม่ยากเลย
![คนประสบความสำเร็จ]( "คนประสบความสำเร็จ")
9. วางแผนรับมือทุกสถานการณ์
การวางแผนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะไม่มีใครที่รู้อนาคตล่วงหน้าได้ แต่ถ้าเราเตรียมแผนรับมือกับทั้งสถานการณ์ที่ยอดเยี่ยมและเลวร้ายไว้ให้พร้อม ก็จะช่วยให้เราสามารถผ่านเรื่องราวเหล่านั้นไปได้ง่ายขึ้น
10. อย่ายอมแพ้อะไรง่าย ๆ
ถ้าอยากประสบความสำเร็จเราต้องมองภาพรวมของงานให้กว้าง ๆ ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยให้เราเดินไปหาเป้าหมายได้ดีขึ้น และสิ่งสำคัญคือเมื่อมีปัญหาอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ผ่านเข้ามา ขออย่ายอมแพ้ หรือล้มเลิกไปง่าย ๆ จงไว้ใจตัวเองและคนรอบข้างว่าเราจะสามารถเดินหน้า ผ่านอุปสรรคร่วมกันไปได้
![คนประสบความสำเร็จ]( "คนประสบความสำเร็จ")
11. จัดตารางงานในแต่ละวัน
ลองแบ่งเวลาทำงานในแต่ละวันออกเป็นช่วง ๆ ดูบ้าง เพราะไม่ใช่ทั้งวันหรอกที่สมองของคนเราจะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพทั้งหมด อาจมีช่วงเวลาหนึ่งที่เรามีพลังงานเต็มเปี่ยม ก็ควรใช้เวลานั้น มุ่งไปกับการทำงานให้เต็มที่ ลุยงานยาก ๆ หรืองานที่มีรายละเอียดเยอะ ๆ ให้เสร็จไปก่อนเลย ซึ่งโดยปกติแล้วเวลาที่สมองแล่นได้ดี เหมาะกับใช้ความคิดหนัก ๆ มักจะเป็นช่วงเช้าคือตั้งแต่เวลา 07.00 น. ไปจนถึง 11.00 น.
แต่หากสังเกตตัวเองดูว่าช่วงไหนที่สมองเริ่มเหนื่อยล้าแล้ว เช่น ในช่วงบ่าย ๆ หากเลือกได้ก็ไม่ควรฝืนทำงานที่ยากเกินกำลัง เพราะยิ่งจะทำให้รู้สึกเบื่อ เครียด แล้วผลงานก็จะออกมาไม่ดีแน่ ๆ ดังนั้นในเวลาแบบนี้ ลองนำงานเบา ๆ หรืองานเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สามารถทำเสร็จในเวลาไม่นานมาทำแทนดีกว่า
12. นอนให้เพียงพอ
การดื่มกาแฟอาจเป็นอาวุธลับที่ช่วยให้ใครหลายคนรู้สึกกระปรี้กระเปร่า พร้อมลุยงานในทุก ๆ วัน แต่หากดื่มกาแฟมากเกินไป จะทำให้มีอาการนอนไม่หลับในตอนกลางคืนตามมาได้ และนี่ล่ะที่ส่งผลให้ร่างกายไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เปรียบเสมือนชาร์จแบตฯ ให้ร่างกายและสมองยังไม่เต็มแล้วพรุ่งนี้จะทำงานออกมาดีได้อย่างไรจริงไหม
ดังนั้น หากจะดื่มกาแฟก็ควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ดื่มหลังช่วงบ่ายไปแล้ว และควรนอนหลับให้ได้ 7-8 ชั่วโมงทุกวัน แต่ถ้าใครเลือกจะนอนแค่วันละ 4 ชั่วโมง แล้วใช้กาแฟเป็นตัวกระตุ้นให้สามารถทำงานได้ บอกเลยว่าไม่เป็นผลดีในระยะยาวแน่ ๆ
![คนประสบความสำเร็จ]( "คนประสบความสำเร็จ")
13. แน่วแน่ต่อเป้าหมายที่ตั้งไว้
สิ่งสำคัญที่จะก้าวไปถึงจุดที่ประสบความสำเร็จได้นั้น คือเราต้องแน่วแน่และมั่นคงในเป้าหมายของตนเอง และอย่าไขว้เขวกับอุปสรรค หรือสิ่งล่อตาล่อใจต่าง ๆ ที่จะทำให้เราเดินออกจากเป้าหมายที่ตั้งใจไว้
14. ให้เวลาดูแลตัวเองบ้าง
ผูกติดตัวเองกับงานมากเกินไปย่อมทำให้ร่างกายอ่อนล้าเหลือกำลัง ลองหาเวลาหันมาใส่ใจดูแลร่างกายตัวเองบ้าง เพราะเพียงแค่วิธีง่าย ๆ เช่น การแช่ตัวอาบน้ำ นวดผ่อนคลาย ดูแลบำรุงผิวหน้า หรือแม้แต่การทำเล็บ ก็สามารถช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลาย สบายใจขึ้นแบบไม่น่าเชื่อ แถมยังทำให้เราหลุดออกไปจากเรื่องงาน ไม่ต้องคิดถึงเรื่องหนัก ๆ ให้ปวดสมองตลอดเวลา เรียกได้ว่าเป็นทางเลือกในการเพิ่มพลังงานให้กับตัวเองได้ดีเลยทีเดียว
15. ฝึกสมาธิ
การทำจิตใจให้สงบ มีสมาธิอยู่เสมอ เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้เราผ่อนคลายและทำงานได้ดีขึ้น โดยอาจจะลองฝึกสมาธิแบบง่าย ๆ ทุกวัน ด้วยการประเมินสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ว่ามีเหตุมีผลมาจากอะไรบ้าง ก็เป็นอีกทางเลือกดี ๆ ที่จะทำให้เราทำงานได้รัดกุม รอบคอบมากขึ้นได้เหมือนกันนะ
![คนประสบความสำเร็จ]( "คนประสบความสำเร็จ")
16. อย่าเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการจับโทรศัพท์
เชื่อว่าหลายคนคงเป็นคล้าย ๆ กัน คือ เมื่อลืมตาตื่นนอนตอนเช้าปุ๊บก็จะหยิบโทรศัพท์มาเล่นเป็นอย่างแรก เพื่อเลื่อนดูหน้าเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ไปเรื่อย ๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลยที่จะเริ่มเช้าวันใหม่ด้วยการเล่นโทรศัพท์ จึงอยากแนะนำให้ลองเปลี่ยนเป็นการลุกออกจากเตียงแล้วไปดื่มน้ำสักแก้ว ใช้เวลาสักพักทบทวนกับตัวเอง แล้วหาเป้าหมายของวันใหม่ดูว่าเราจะทำอะไร เพื่อเตรียมความพร้อมในการทำงานของเราไปในตัวได้ด้วย
17. รักษาทัศนคติเชิงบวกไว้
การตื่นมาทุกเช้าด้วยทัศนคดีที่ดี เชื่อว่าทุกสิ่งเป็นเรื่องง่าย ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้หากได้ลองลงมือทำ ก็เป็นสิ่งเล็ก ๆ ที่ช่วยให้เราพัฒนาตัวเองได้เช่นกัน แม้หลายคนอาจจะมองว่าการคิดแบบนี้เป็นเรื่องเพ้อฝัน ไม่ยอมอยู่ในโลกความจริง แต่ขอให้เชื่อเถอะว่าการคิดเรื่องดี ๆ อยู่เสมอ ย่อมดีกว่าคนที่มีทัศนคติเชิงลบแน่นอน
เชื่อว่าเคล็ดลับดี ๆ ดีเหล่านี้ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกคน ถ้าได้นำไปปรับใช้กับตัวเอง อาจจะไม่ต้องนำไปใช้ทุกวิธีก็ได้นะ แต่ลองเลือกบางข้อที่คิดว่าเหมาะกับตัวเอง รับรองเลยว่าจะช่วยให้คุณก้าวไปใกล้เป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน
ในการทำงานแต่ละวันมักมีหลายสิ่งที่เราต้องทำ ซึ่งบางครั้งด้วยความวุ่นวายและเร่งรีบก็อาจทำให้เราเผลอลืมงานบางชิ้นไป แต่ถ้าเราเริ่มจัดระเบียบตั้งแต่ช่วงเช้า ด้วยการตั้งค่าเว็บไซต์เริ่มต้นในแท็บเบราว์เซอร์ไว้ล่วงหน้าก่อนเริ่มงานว่าวันนี้ต้องทำอะไรบ้าง จัดลำดับความสำคัญก่อนหลัง เราก็จะไม่หลงลืมและทำงานได้ตามแผนที่วางไว้ นอกจากนี้ ยังเป็นการช่วยให้เราไม่หลุดไปยุ่งกับเรื่องอื่นที่ไม่จำเป็นได้อีกด้วย
2. เลือกใช้ "และ" แทนคำว่า "แต่"
รู้ไหมว่าสมองของมนุษย์รู้สึกกับคำพูดแต่ละคำแตกต่างกันอย่างไม่น่าเชื่อ ซึ่งคำว่า "แต่" ก็เป็นอีกคำที่หลายคนรู้สึกไม่ดีเมื่อได้ฟัง กลับกันกับคำว่า "และ" ที่ผู้ฟังจะรู้สึกดีมากกว่า แม้จะอยู่ในประโยคที่มีความหมายเหมือน ๆ กันก็ตาม เช่น "ฉันเห็นด้วยกับสิ่งที่เธอคิดนะ แต่ในมุมมองของฉันคิดว่าเราควรทำแบบนี้" ประโยคนี้คนฟังจะรู้สึกว่าต่อต้าน ถ้าเราลองเปลี่ยนเป็น "ฉันเห็นด้วยกับสิ่งที่เธอคิดนะ และในมุมมองของฉันคิดว่าเราควรจะทำแบบนี้" จะเห็นว่าแค่เปลี่ยนคำเชื่อมคำเดียว ก็ทำให้คนฟังรู้ดีขึ้นได้
การจะประสบความสำเร็จในธุรกิจได้ก็ไม่ต่างจากการเล่นกีฬา หากผู้เล่นมีทีมเวิร์กที่ดี แน่นอนว่าทีมนั้นก็มีโอกาสเป็นผู้ชนะได้ เฉกเช่นเดียวกับเมื่อใดที่คนในทีม หรือเพื่อนรวมงานรู้สึกร่วมกันว่าอยากชนะไปด้วยกัน เรียนรู้จากความผิดพลาดไปพร้อม ๆ กัน และมีเป้าหมายอันเดียวกัน การเดินไปสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จคงไม่ใช่เรื่องยากแน่นอน
4. เช็กอีเมลแค่วันละครั้งพอ
สังเกตได้ว่าการเช็กอีเมลในแต่ละวัน ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงานพอสมควรเลย เพราะยิ่งเราจดจ่ออยู่กับการเช็กอีเมลมากแค่ไหน ก็ยิ่งทำให้เครียดมากเท่านั้น ตามมาด้วยการทำงานที่แย่ลง เพราะฉะนั้น หากใครไม่ได้ทำงานที่ต้องติดต่อหรือรับข่าวสารจากคนอื่น ๆ ตลอดเวลา ลองตั้งเวลาเช็กอีเมลแค่วันละครั้ง ก็อาจจะเพียงพอแล้ว เพื่อจะได้นำเวลาที่เหลือไปพัฒนาการทำงานให้ดีขึ้น
บางทีการปล่อยให้ตัวเองอยู่กับงานมากเกินไปในแต่ละวัน ก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก เราจึงควรหาเวลาให้ตัวเองได้พักสมอง อยู่กับตัวเองบ้าง ซึ่งคุณอาจจะลองเลือกใช้วิธีเขียนไว้บนปฏิทินงานของตัวเองว่า "ไม่ว่าง" สักอาทิตย์ละ 3 ชั่วโมง เพื่อจะได้เอาเวลานั้น มาอยู่กับตัวเอง ไม่แน่อาจจะได้ไอเดียเจ๋ง ๆ ใหม่ ๆ จากช่วงเวลานี้ก็เป็นไปได้
6. หาอย่างอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานทำบ้าง
การหมกมุ่นกับงานมากเกินไปแม้แต่ในช่วงนอกเวลางานจะทำให้เราเพลียและเครียดเสียเปล่า ๆ แบบนี้จะลองหากิจกรรมอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานทำดูบ้างก็ไม่เลวนะ อย่างการอ่านบทความใหม่ ๆ หรือออกไปหากิจกรรมสนุก ๆ ทำร่วมกันกับเพื่อนร่วมงาน เพราะนอกจากจะทำให้คุณผ่อนคลายจากงานที่ต้องเจอในแต่ละวันแล้ว ยังอาจช่วยให้ค้นพบสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่คาดคิดก็ได้
ปัจจุบันเรามีแอปพลิเคชั่นมากมายที่ช่วยในการจดบันทึก หรือจัดตารางงาน ตารางชีวิตต่าง ๆ แต่บางทีการหันกลับมาใช้สมุดบันทึกแบบเดิม ๆ ก็อาจจะช่วยได้ดีกว่าที่คิด เพราะเหมือนทำให้เราจำสิ่งที่จดลงไปได้ดีขึ้น โดยทุกเช้าอาจจะลองเขียน 5 สิ่งที่อยากทำให้สำเร็จในวันนี้ เพื่อเป็นเป้าหมายระยะสั้น แล้วค่อยขยับไปเขียนเป้าหมายในแต่ละเดือน หรือแต่ละไตรมาส เพื่อการพัฒนาต่อไปทีละขั้น
8. หัดใส่ใจคนรอบข้าง
หัวหน้าหลาย ๆ คนมักจะลืมนึกถึงความรู้สึกของลูกน้อง หรือเพื่อนร่วมงาน แต่หากลองใส่ใจคนรอบข้างของคุณดูบ้าง โดยการแสดงความอ่อนน้อมถ่อมตน หรือใช้คำพูดที่ดีกับเพื่อนร่วมงาน ไม่ว่าเขานั้นจะทำงานสำเร็จ หรือล้มเหลว สิ่งนั้นอาจจะช่วยให้พวกเขาประทับใจในตัวคุณได้ไม่ยากเลย
การวางแผนเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะไม่มีใครที่รู้อนาคตล่วงหน้าได้ แต่ถ้าเราเตรียมแผนรับมือกับทั้งสถานการณ์ที่ยอดเยี่ยมและเลวร้ายไว้ให้พร้อม ก็จะช่วยให้เราสามารถผ่านเรื่องราวเหล่านั้นไปได้ง่ายขึ้น
10. อย่ายอมแพ้อะไรง่าย ๆ
ถ้าอยากประสบความสำเร็จเราต้องมองภาพรวมของงานให้กว้าง ๆ ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยให้เราเดินไปหาเป้าหมายได้ดีขึ้น และสิ่งสำคัญคือเมื่อมีปัญหาอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ ผ่านเข้ามา ขออย่ายอมแพ้ หรือล้มเลิกไปง่าย ๆ จงไว้ใจตัวเองและคนรอบข้างว่าเราจะสามารถเดินหน้า ผ่านอุปสรรคร่วมกันไปได้
ลองแบ่งเวลาทำงานในแต่ละวันออกเป็นช่วง ๆ ดูบ้าง เพราะไม่ใช่ทั้งวันหรอกที่สมองของคนเราจะทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพทั้งหมด อาจมีช่วงเวลาหนึ่งที่เรามีพลังงานเต็มเปี่ยม ก็ควรใช้เวลานั้น มุ่งไปกับการทำงานให้เต็มที่ ลุยงานยาก ๆ หรืองานที่มีรายละเอียดเยอะ ๆ ให้เสร็จไปก่อนเลย ซึ่งโดยปกติแล้วเวลาที่สมองแล่นได้ดี เหมาะกับใช้ความคิดหนัก ๆ มักจะเป็นช่วงเช้าคือตั้งแต่เวลา 07.00 น. ไปจนถึง 11.00 น.
แต่หากสังเกตตัวเองดูว่าช่วงไหนที่สมองเริ่มเหนื่อยล้าแล้ว เช่น ในช่วงบ่าย ๆ หากเลือกได้ก็ไม่ควรฝืนทำงานที่ยากเกินกำลัง เพราะยิ่งจะทำให้รู้สึกเบื่อ เครียด แล้วผลงานก็จะออกมาไม่ดีแน่ ๆ ดังนั้นในเวลาแบบนี้ ลองนำงานเบา ๆ หรืองานเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สามารถทำเสร็จในเวลาไม่นานมาทำแทนดีกว่า
การดื่มกาแฟอาจเป็นอาวุธลับที่ช่วยให้ใครหลายคนรู้สึกกระปรี้กระเปร่า พร้อมลุยงานในทุก ๆ วัน แต่หากดื่มกาแฟมากเกินไป จะทำให้มีอาการนอนไม่หลับในตอนกลางคืนตามมาได้ และนี่ล่ะที่ส่งผลให้ร่างกายไม่ได้พักผ่อนอย่างเต็มที่ เปรียบเสมือนชาร์จแบตฯ ให้ร่างกายและสมองยังไม่เต็มแล้วพรุ่งนี้จะทำงานออกมาดีได้อย่างไรจริงไหม
ดังนั้น หากจะดื่มกาแฟก็ควรดื่มในปริมาณที่เหมาะสม ไม่ดื่มหลังช่วงบ่ายไปแล้ว และควรนอนหลับให้ได้ 7-8 ชั่วโมงทุกวัน แต่ถ้าใครเลือกจะนอนแค่วันละ 4 ชั่วโมง แล้วใช้กาแฟเป็นตัวกระตุ้นให้สามารถทำงานได้ บอกเลยว่าไม่เป็นผลดีในระยะยาวแน่ ๆ
สิ่งสำคัญที่จะก้าวไปถึงจุดที่ประสบความสำเร็จได้นั้น คือเราต้องแน่วแน่และมั่นคงในเป้าหมายของตนเอง และอย่าไขว้เขวกับอุปสรรค หรือสิ่งล่อตาล่อใจต่าง ๆ ที่จะทำให้เราเดินออกจากเป้าหมายที่ตั้งใจไว้
14. ให้เวลาดูแลตัวเองบ้าง
ผูกติดตัวเองกับงานมากเกินไปย่อมทำให้ร่างกายอ่อนล้าเหลือกำลัง ลองหาเวลาหันมาใส่ใจดูแลร่างกายตัวเองบ้าง เพราะเพียงแค่วิธีง่าย ๆ เช่น การแช่ตัวอาบน้ำ นวดผ่อนคลาย ดูแลบำรุงผิวหน้า หรือแม้แต่การทำเล็บ ก็สามารถช่วยให้เรารู้สึกผ่อนคลาย สบายใจขึ้นแบบไม่น่าเชื่อ แถมยังทำให้เราหลุดออกไปจากเรื่องงาน ไม่ต้องคิดถึงเรื่องหนัก ๆ ให้ปวดสมองตลอดเวลา เรียกได้ว่าเป็นทางเลือกในการเพิ่มพลังงานให้กับตัวเองได้ดีเลยทีเดียว
15. ฝึกสมาธิ
การทำจิตใจให้สงบ มีสมาธิอยู่เสมอ เป็นอีกวิธีที่ช่วยให้เราผ่อนคลายและทำงานได้ดีขึ้น โดยอาจจะลองฝึกสมาธิแบบง่าย ๆ ทุกวัน ด้วยการประเมินสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ว่ามีเหตุมีผลมาจากอะไรบ้าง ก็เป็นอีกทางเลือกดี ๆ ที่จะทำให้เราทำงานได้รัดกุม รอบคอบมากขึ้นได้เหมือนกันนะ
เชื่อว่าหลายคนคงเป็นคล้าย ๆ กัน คือ เมื่อลืมตาตื่นนอนตอนเช้าปุ๊บก็จะหยิบโทรศัพท์มาเล่นเป็นอย่างแรก เพื่อเลื่อนดูหน้าเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ไปเรื่อย ๆ ซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลยที่จะเริ่มเช้าวันใหม่ด้วยการเล่นโทรศัพท์ จึงอยากแนะนำให้ลองเปลี่ยนเป็นการลุกออกจากเตียงแล้วไปดื่มน้ำสักแก้ว ใช้เวลาสักพักทบทวนกับตัวเอง แล้วหาเป้าหมายของวันใหม่ดูว่าเราจะทำอะไร เพื่อเตรียมความพร้อมในการทำงานของเราไปในตัวได้ด้วย
17. รักษาทัศนคติเชิงบวกไว้
การตื่นมาทุกเช้าด้วยทัศนคดีที่ดี เชื่อว่าทุกสิ่งเป็นเรื่องง่าย ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้หากได้ลองลงมือทำ ก็เป็นสิ่งเล็ก ๆ ที่ช่วยให้เราพัฒนาตัวเองได้เช่นกัน แม้หลายคนอาจจะมองว่าการคิดแบบนี้เป็นเรื่องเพ้อฝัน ไม่ยอมอยู่ในโลกความจริง แต่ขอให้เชื่อเถอะว่าการคิดเรื่องดี ๆ อยู่เสมอ ย่อมดีกว่าคนที่มีทัศนคติเชิงลบแน่นอน
เชื่อว่าเคล็ดลับดี ๆ ดีเหล่านี้ น่าจะเป็นประโยชน์ต่อทุกคน ถ้าได้นำไปปรับใช้กับตัวเอง อาจจะไม่ต้องนำไปใช้ทุกวิธีก็ได้นะ แต่ลองเลือกบางข้อที่คิดว่าเหมาะกับตัวเอง รับรองเลยว่าจะช่วยให้คุณก้าวไปใกล้เป้าหมายที่ตั้งไว้อย่างแน่นอน
