ครม. ไฟเขียวแพ็กเกจช่วย SMEs ลดหย่อนภาษี-ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำ

          ครม. ไฟเขียวแพ็กเกจช่วย SMEs ลดหย่อนภาษี 10% ในรายที่มีกำไรเกิน 3 แสนบาท พร้อมปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำในวงเงิน 1 แสนล้านบาท ดอกเบี้ย 4% 

          เมื่อวันที่ 7 กันยายน 2558 นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ด้านเศรษฐกิจ เผยว่า หลังได้หารือกับทีมเศรษฐกิจและได้มติที่น่าพอใจ ตนเตรียมจะเสนอมาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา ในวันที่ 8 กันยายนนี้ โดยเบื้องต้นจะแบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกจะเสริมสภาพคล่องเพื่อให้เอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากขึ้น ผ่านธนาคารของรัฐ เช่น ธนาคารกรุงไทย และธนาคารออมสิน โดยจะขอให้ธนาคารของรัฐปล่อยสินเชื่อให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งยังได้มอบหมายให้กระทรวงการคลังออกมาตรการทางภาษีเพื่อลดต้นทุนให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีอีกด้วย

          ส่วนมาตรการที่ 2 จะเป็นการเสริมความเข้มแข็งให้กับเอสเอ็มอี โดยจะมอบหมายให้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงอุตสาหกรรม ไปศึกษาช่องทางการทำธุรกิจผ่านรูปแบบออนไลน์ หรือ อี-คอมเมิร์ซ ว่าพอจะมีแนวทางในการขยายตลาดไปสู่การทำตลาดออนไลน์ได้หรือไม่ แต่ทั้งนี้ยังไม่ขอลงรายละเอียดเนื่องจากต้องรอให้ ครม. อนุมัติเสียก่อน ทั้งนี้้ยืนยันว่าการใช้มาตรการทางภาษีจะไม่กระทบต่อการจัดเก็บรายได้ของรัฐอย่างแน่นอน

          ด้านนายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. กล่าวว่า ที่ประชุมของธนาคารได้อนุมัติวงเงินจำนวน 30,000 ล้านบาท ตามมติ ครม. เพื่อปล่อยกู้ให้กับกองทุนหมู่บ้าน ในอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ร้อยละ 0 ระยะเวลา 2 ปี โดยมีการแบ่งกองทุนออกเป็น 2 เกรด คือเกรด A และ B ซึ่ง ธ.ก.ส. จะสนับสนุนได้ประมาณ 20,500 กองทุน และจะต้องปล่อยกู้ให้หมดภายในเดือนตุลาคมนี้ โดยมั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาในเรื่องหนี้เสีย เพราะเป็นการปล่อยกู้ให้กับกองทุนหมู่บ้านชั้นดีและดีมาก

          ในส่วนของนายชาติชาย พยุหนาวีชัย ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวว่า ทางออมสินได้มีการเตรียมความพร้อมในการปล่อยสินเชื่อให้กับกองทุนหมู่บ้าน ซึ่งธนาคารออมสินได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบปล่อยสินเชื่อวงเงิน 30,000 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะปล่อยวงเงินดังกล่าวได้หมดภายในสิ้นปีนี้ โดยในส่วนของธนาคารออมสินจะทำการคัดเลือกหมู่บ้านที่จัดอยู่ในกลุ่ม A และ B จำนวน 59,000 หมู่บ้าน และอีก 18,000 หมู่บ้าน จัดถูกจัดอยู่ในกลุ่ม C และ D โดยทางธนาคารไม่มีความกังวลในเรื่องหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดราย (NPL) เพราะมั่นใจว่ากลุ่ม A, B มีความเข้มแข็งอยู่แล้ว

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก