ธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุ เงินบาทไทยอ่อนค่าแตะระดับ 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ผลมาจากแรงกดดันเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ดีต่อเนื่อง สอดคล้องกับการอ่อนค่าของเงินสกุลอื่นในภูมิภาค ด้านตัวแทนเอกชน ชี้ เงินบาทอ่อนค่าทำนำเข้า-ส่งออก ได้รับผลกระทบหนัก ซ้ำยังเผยให้เห็นถึงความอ่อนแอของเศรษฐกิจไทย
วันที่ 7 กันยายน 2558 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ค่าเงินบาทของไทยอ่อนค่าลงอยู่ที่ 36.02 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากราคาเปิดตลาดที่ 35.98 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ โดยเป็นการอ่อนค่าต่อเนื่องมาจากสัปดาห์ก่อน ทั้งนี้ผลของการอ่อนค่าของเงินบาทมาจากแรงกดดันจากทางฝั่งประเทศสหรัฐอเมริกา ภายหลังจากที่ตัวเลขเศรษฐกิจโดยรวมของสหรัฐฯ ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ภายหลังจากที่ค่าเงินบาทของไทยอ่อนค่าแตะระดับ 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ก็ได้มีปฏิกิริยาจาก 2 ฟากฝั่ง ได้แก่ ฝั่งธนาคารแห่งประเทศไทย และฝั่งเอกชน โดยนายจิรเทพ เสนีวงศ์ ณ อยุธยา โฆษกของธนาคารแห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า การอ่อนค่าของเงินบาทในขณะนี้ถือว่าสอดคล้องกับทิศทางเงินสกุลอื่น ๆ ในภูมิภาคที่อ่อนค่าลงด้วยเช่นกัน รวมทั้งมองว่ามีแนวโน้มที่ เฟด หรือ ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายนนี้ให้มากขึ้น หลังอัตราการว่างงานในสหรัฐฯ ลดลงแตะระดับร้อยละ 5.1 และตัวเลขค่าจ้างรายชั่วโมงเฉลี่ยปรับเพิ่มสูงกว่าที่คาด ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าเงินบาทอาจจะอ่อนค่าลงอีก นอกจากนี้การที่เงินบาทอ่อนค่าแตะระดับ 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ถือเป็นการอ่อนค่าในรอบ 6 ปี 6 เดือน นับตั้งแต่มีนาคม ปี 2552
ด้านนายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย หรือ สรท. ซึ่งเป็นตัวแทนความคิดเห็นฝั่งเอกชน กล่าวว่า การอ่อนค่าของเงินบาทที่หลุดระดับ 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็นปัจจัยที่น่าเป็นห่วง เนื่องจากมองว่าค่าเงินบาทได้อ่อนค่าเกินจุดสมดุลไปแล้ว ซึ่งจริง ๆ ควรจะอยู่ที่ 35 บาท อีกทั้งการอ่อนค่าของเงินบาทในครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความอ่อนแอของเศรษฐกิจไทย เพราะถึงแม้การที่เงินบาทอ่อนค่าจะส่งผลดีต่อการส่งออก คือผู้ส่งออกได้เงินมากขึ้นจากการอ่อนค่าของเงินบาท แต่ไม่ได้ช่วยเพิ่มคำสั่งซื้อ และยิ่งถ้ามองลงไปให้ลึกลงไปจริง ๆ จะพบว่าไม่เป็นผลดีต่อการส่งออกเลย เพราะเมื่อบาทไทยอ่อน ค่าเงินของประเทศคู่แข่งก็อ่อนเช่นกัน และที่กระทบจริง ๆ ก็จะเป็นในส่วนภาคการนำเข้าที่ต้องแบกรับราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นจากการอ่อนค่าของเงินบาท ซึ่งนี่เป็นการแสดงให้เห็นถึงความอ่อนแอของเศรษฐกิจไทยอย่างแท้จริง อีกทั้งยังเป็นปัจจัยที่ไม่เอื้อต่อบรรยากาศการลงทุนอีกด้วย
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม
