ลดหย่อนภาษี 2564 ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ ซื้อ SSF RMF ใช้สิทธิ์ได้เท่าไร มีรายการอื่นอีกไหม ก่อนยื่นภาษีต้องรู้ เป็นหน้าที่ของคนไทยที่ต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทุกปี เมื่อมีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนด โดยกฎหมายให้เราสามารถนำค่าใช้จ่ายบางรายการไปยื่นหักลดหย่อนภาษีก่อนคำนวณภาษีที่ต้องจ่ายได้ ซึ่งจะช่วยให้จ่ายภาษีน้อยลง หรือได้เงินคืนภาษีกลับมาด้วย ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น ลองมาดูข้อมูลลดหย่อนภาษี ปี 2564 สำหรับมนุษย์เงินเดือนได้เลย กรณีมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) เพียงประเภทเดียว จะต้องยื่นแบบภาษีเมื่อมีเงินได้เกิน 120,000 บาท กรณีมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) และมีเงินได้ประเภทอื่นด้วย หรือกรณีมีเฉพาะเงินได้ประเภทอื่นที่ไม่ใช่เงินได้จากการจ้างแรงงาน จะต้องยื่นแบบภาษีเมื่อมีเงินได้เกิน 60,000 บาท กรณีมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) เพียงประเภทเดียว จะต้องยื่นแบบภาษีเมื่อมีเงินได้เกิน 220,000 บาท กรณีมีเงินได้จากการจ้างแรงงาน (เงินเดือน ค่าจ้าง) และมีเงินได้ประเภทอื่นด้วย หรือกรณีมีเฉพาะเงินได้ประเภทอื่นที่ไม่ใช่เงินได้จากการจ้างแรงงาน จะต้องยื่นแบบภาษีเมื่อมีเงินได้เกิน 120,000 บาท ถ้าอยากรู้ว่าจะต้องเสียภาษีเท่าไร ลองใช้วิธีคำนวณภาษีบุคคลธรรมดา คือ 1. นำรายได้ทั้งหมดที่มีในปีนั้นมารวมกัน 2. นำค่าลดหย่อนต่าง ๆ มาลบออกจากรายได้ เช่น - กรณีเป็นเงินได้จากเงินเดือน ค่าจ้าง โบนัส เบี้ยเลี้ยง เงินได้จากหน้าที่หรือตำแหน่งงานที่ทำ หรือจากการรับทำงานให้ ค่าธรรมเนียม ค่านายหน้า ฯลฯ สามารถหักค่าใช้จ่าย 50% ของเงินได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท - หักค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท - หักค่าลดหย่อนภาษีอื่น ๆ ตามที่เรามี 3. หลังจากนำค่าลดหย่อนทั้งหมดมาลบออกจากรายได้แล้ว เงินส่วนที่เหลือจะเรียกว่า "เงินได้สุทธิ" ซึ่งจะต้องนำเงินจำนวนนี้ไปคำนวณภาษี เพื่อเสียภาษีตามขั้นบันได 5-35% ดังนี้ ในปี 2564 จะมีตัวช่วยลดหย่อนภาษีอยู่หลายกลุ่ม ได้แก่ กลุ่มค่าลดหย่อนส่วนตัวและครอบครัว กลุ่มประกัน เงินออม และการลงทุน กลุ่มค่าลดหย่อนเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มเงินบริจาค กลุ่มค่าลดหย่อนตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ ลองไปดูรายละเอียดของแต่ละกลุ่มกันเลย จำนวน : 60,000 บาท เงื่อนไข : ลดหย่อนภาษีได้ทันทีที่ยื่นแบบฯ จำนวน : 60,000 บาท เงื่อนไข : - สำหรับสามี-ภรรยาที่จดทะเบียนสมรส - คู่สมรสต้องไม่มีเงินได้ หรือมีเงินได้แต่เลือกนำมาคำนวณภาษีพร้อมกัน ไม่ได้แยกยื่นแบบฯ จำนวน : ลดหย่อนได้คนละ 30,000 บาท (ไม่จำกัดจำนวนบุตร) เงื่อนไข : - หากเป็นบุตรตามกฎหมาย สามารถนำมาหักลดหย่อนได้ไม่จำกัดจำนวนบุตร - หากเป็นบุตรบุญธรรม สามารถนำมาหักลดหย่อนได้ไม่เกิน 3 คน - หากมีทั้งบุตรบุญธรรมและบุตรชอบด้วยกฎหมาย ให้นำบุตรชอบด้วยกฎหมายทั้งหมดมาหักก่อน แล้วจึงนำบุตรบุญธรรมมาหัก รวมกันได้ไม่เกิน 3 คน - กรณีมีบุตรชอบด้วยกฎหมายที่มีชีวิตอยู่รวมเป็นจำนวนตั้งแต่ 3 คนขึ้นไป จะนำบุตรบุญธรรมมาหักไม่ได้ นอกจากนี้ บุตรที่จะนำมาหักลดหย่อนภาษีต้องมีคุณสมบัติตามนี้ด้วย - บุตรมีอายุอยู่ระหว่างแรกเกิดจนถึง 20 ปี ในปีภาษีนั้น - ถ้าบุตรมีอายุระหว่าง 21-25 ปี ในปีภาษีนั้น ต้องกำลังศึกษาในระดับอนุปริญญา (ปวส.) ขึ้นไป - ถ้าบุตรมีอายุ 25 ปีขึ้นไป ในปีภาษีนั้น ต้องเป็นบุคคลไร้ความสามารถ หรือเสมือนไร้ความสามารถ - บุตรต้องไม่มีเงินได้ในปีภาษีตั้งแต่ 30,000 บาทขึ้นไป (ยกเว้นเงินปันผล) หรือรายได้ที่มีนั้นได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย เช่น บุตรที่อายุไม่เกิน 20 ปี และรับเงินปันผล ซึ่งเงินปันผลนั้นจะถือว่าเป็นเงินของผู้ปกครอง และไม่ถือว่าบุตรมีรายได้ จำนวน : 30,000 บาทต่อคน (เมื่อรวมกับค่าลดหย่อนบุตรอีก 30,000 บาท เท่ากับลดหย่อนบุตรคนที่ 2 รวม 60,000 บาท) เงื่อนไข : - ต้องเป็นบุตรคนที่ 2 เป็นต้นไป ที่คลอดตั้งแต่ปี 2561 เป็นต้นไป - ต้องเป็นบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย - นับลำดับของบุตรทุกคน ไม่ว่าจะมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม จำนวน : หักค่าใช้จ่ายได้ตามจริง สูงสุดไม่เกินปีละ 60,000 บาท เงื่อนไข : - ต้องเป็นค่าใช้จ่ายฝากครรภ์และค่าคลอดบุตรในช่วงวันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2564 - กรณีตั้งครรภ์ปีนี้ แต่คลอดบุตรปีหน้า ให้ลดหย่อนได้ตามปีที่ใช้สิทธิ์ แต่ไม่เกิน 60,000 บาท เช่น ตั้งครรภ์ปี 2564 จ่ายค่าฝากครรภ์ไปจำนวน 20,000 บาท ก็จะสามารถหักลดหย่อนภาษี ปี 2564 ได้ 20,000 บาท และเมื่อคลอดบุตรในปี 2565 จะสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษี ปี 2565 ได้อีกไม่เกิน 40,000 บาท - กรณีคลอดบุตรแฝด สามารถหักลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 60,000 บาท เนื่องจากเป็นการตั้งครรภ์คราวเดียว - สามารถนำค่าใช้จ่ายจากการตั้งครรภ์และคลอดบุตรมาหักลดหย่อนภาษีได้ ไม่ว่าทารกที่คลอดจะมีชีวิตรอดหรือไม่ - สามีสามารถใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีค่าคลอดบุตรได้ไม่เกิน 60,000 บาท หากภรรยาไม่มีเงินได้ - สิทธิ์ลดหย่อนภาษีดังกล่าว เมื่อนำไปรวมกับสิทธิ์การเบิกค่าฝากครรภ์และค่าคลอดบุตรจากสวัสดิการภาครัฐและเอกชน ต้องไม่เกิน 60,000 บาท จำนวน : ลดหย่อนจากบิดา-มารดา (ตัวเอง) และบิดา-มารดาคู่สมรส ได้คนละ 30,000 บาท มากสุดคือ 4 คน ไม่เกิน 120,000 บาท เงื่อนไข : - บิดา-มารดาต้องมีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีรายได้ในปีภาษีนั้นไม่เกิน 30,000 บาท - หากเป็นบิดา-มารดาของคู่สมรส จะใช้ลดหย่อนภาษีได้ก็ต่อเมื่อคู่สมรสต้องไม่มีรายได้ - บิดา-มารดาออกหนังสือรับรองการเลี้ยงดู (ลย.03) ให้กับบุตรที่จะขอลดหย่อนภาษีด้วย - หากมีลูกหลายคนจะสามารถใช้สิทธิ์ได้เพียงคนเดียวเท่านั้น เช่น หากลูกคนโตใช้ไปแล้ว ลูกคนอื่น ๆ ก็ไม่สามารถใช้สิทธิ์นี้ได้อีก ดาวน์โหลดหนังสือรับรองการหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดา-มารดา จำนวน : 60,000 บาทต่อคน เงื่อนไข : - ต้องเป็นผู้ที่ดูแลคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ - ผู้พิการต้องมีบัตรประจำตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ หรือเป็นคนทุพพลภาพที่มีเงินได้พึงประเมินไม่เกิน 30,000 บาทต่อปี ทั้งนี้ หากผู้พิการหรือทุพพลภาพเป็นบิดา-มารดา-บุตร-คู่สมรสของผู้มีเงินได้ ก็สามารถใช้สิทธิ์ควบคู่กันได้เลย เช่น มารดาอายุเกิน 60 ปี เป็นผู้พิการ ไม่มีรายได้ เราสามารถนำมาลดหย่อนได้สูงสุด (30,000+60,000 บาท) เท่ากับ 90,000 บาท หรือหากคู่สมรสเป็นผู้พิการและไม่มีรายได้ ก็สามารถนำมาลดหย่อนได้สูงสุด 120,000 บาท (ค่าลดหย่อนคู่สมรส 60,000 + ค่าลดหย่อนอุปการะผู้พิการ 60,000) ดาวน์โหลดหนังสือรับรองการหักลดหย่อนค่าอุปการะเลี้ยงดูคนพิการหรือทุพพลภาพ ดาวน์โหลดหนังสือรับรองการเป็นผู้อุปการะเลี้ยงดูคนทุพพลภาพ จำนวน : ลดหย่อนได้ตามจริง โดยในปี 2564 ผู้ประกันตน มาตรา 33 สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 5,100 บาท เนื่องจากมีการปรับลดเงินสมทบประกันสังคมในเดือนมกราคม-มีนาคม และมิถุนายน-พฤศจิกายน 2564 เพื่อช่วยเหลือในช่วงสถานการณ์โควิด 19 ส่วนผู้ประกันตน มาตรา 39 สามารถลดหย่อนได้สูงสุด 3,003 บาท ขณะที่ผู้ประกันตน มาตรา 40 จะลดหย่อนได้ไม่เกิน 700-3,000 บาท ตามที่จ่ายจริง จำนวน : ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท เงื่อนไขประกันชีวิต : - ต้องเป็นประกันชีวิตที่มีความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป - มีผลตอบแทนคืนไม่เกิน 20% ของเบี้ยสะสม (เงินปันผลหรือเบี้ยคืนรายปี) - ต้องเป็นกรมธรรม์ที่ซื้อจากบริษัทประกันชีวิตที่ดำเนินกิจการในไทย - หากเวนคืนกรมธรรม์ก่อนครบ 10 ปี ถือว่าผิดเงื่อนไข จะไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ เงื่อนไขเงินฝากเพื่อสงเคราะห์ชีวิต : - ต้องเปิดบัญชีเงินฝากเพื่อสงเคราะห์ชีวิต (ปัจจุบันมี 2 ธนาคาร คือ ออมสิน และ ธ.ก.ส.) - ฝากเงินตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป - ผู้มีเงินได้เป็นผู้จ่ายเงินฝากเท่านั้น - กรณีได้รับเงินหรือผลประโยชน์ตอบแทนคืนทุกปี ต้องไม่เกิน 20% ของเงินฝากรายปี - มีหลักฐานจากธนาคารผู้รับฝากเงิน - หักลดหย่อนภาษีได้ตามจำนวนที่ฝากเงินจริง แต่เมื่อรวมกับเงินที่ได้จ่ายค่าเบี้ยประกันชีวิตแล้ว ต้องไม่เกิน 100,000 บาท ตัวอย่างเช่น หากจ่ายเบี้ยประกันชีวิตในปีนั้นไปแล้ว 40,000 บาท เราจะมีสิทธิ์นำเงินฝากสงเคราะห์ชีวิตไปลดหย่อนภาษีได้อีก 60,000 บาท จำนวน : หักตามจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท เงื่อนไข : - ต้องเป็นการซื้อประกันชีวิตให้คู่สมรสตามกฎหมายที่ไม่มีรายได้ - ต้องเป็นสามี-ภรรยาตลอดทั้งปีภาษี ดังนั้น หากเพิ่งแต่งงานกันในปี 2564 จะยังไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้ เพราะความเป็นสามี-ภรรยา ไม่ได้มีอยู่ตลอดทั้งปี จำนวน : ลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 25,000 บาทต่อปี แต่เมื่อรวมเบี้ยประกันชีวิต และเงินฝากสงเคราะห์ชีวิตแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท เงื่อนไข : ประกันสุขภาพที่นำมาลดหย่อนได้ มีดังนี้ - ประกันให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลอันเกิดจากการเจ็บป่วยและการบาดเจ็บ การชดเชยการทุพพลภาพและการสูญเสียอวัยวะเนื่องจากการเจ็บป่วยหรือบาดเจ็บ - ประกันอุบัติเหตุเฉพาะที่ให้ความคุ้มครองเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล การทุพพลภาพ การสูญเสียอวัยวะ และการแตกหักของกระดูก - ประกันภัยโรคร้ายแรง - ประกันภัยการดูแลระยะยาว จำนวน : ลดหย่อนได้ตามจริง แต่ไม่เกิน 15,000 บาท เงื่อนไข : - บิดา-มารดาต้องไม่มีเงินได้พึงประเมินในปีภาษีที่ขอหักลดหย่อนเกิน 30,000 บาทขึ้นไป - บิดาหรือมารดาต้องอยู่ในไทยไม่ต่ำกว่า 180 วัน ในปีภาษีนั้น - ลูกที่จะใช้สิทธิ์ต้องเป็นบุตรตามกฎหมายเท่านั้น บุตรบุญธรรมไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้ - ลูกสามารถใช้สิทธิ์ได้หลายคน โดยหารเฉลี่ยกัน เช่น ลูก 2 คน ร่วมกันซื้อประกันสุขภาพให้บิดา จำนวน 15,000 บาท ดังนั้น ลูกแต่ละคนสามารถนำเบี้ยประกันสุขภาพบิดาไปลดหย่อนภาษีได้คนละ 7,500 บาท - แบบประกันสุขภาพของบิดา-มารดาที่นำมาลดหย่อนภาษีได้จะต้องเป็นความคุ้มครองด้านใดด้านหนึ่งใน 4 ด้านเท่านั้น คือ ค่ารักษาพยาบาลหรือเงินชดเชย กรณีเจ็บป่วยทั่วไป, ค่ารักษาพยาบาลหรือเงินชดเชย กรณีอุบัติเหตุ, ประกันคุ้มครองโรคร้ายแรง และประกันคุ้มครองการพยาบาลสำหรับการเจ็บป่วยระยะยาว (Long Term Care) จำนวน : 15% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 200,000 บาท เงื่อนไข : - ต้องเป็นประกันที่มีระยะเวลาเอาประกัน 10 ปีขึ้นไป - ต้องเป็นกรมธรรม์ที่ซื้อจากบริษัทประกันชีวิตที่ดำเนินกิจการในไทย - จ่ายผลตอบแทนให้ผู้เอาประกันตั้งแต่อายุ 55 ปี ต่อเนื่องไปจนถึงอายุ 85 ปี หรือมากกว่านั้น - เมื่อรวมค่าเบี้ยประกันที่จ่ายให้กับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หรือกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ หรือกองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน หรือกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) หรือกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) แล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาท - หากมีประกันชีวิตแบบทั่วไปอยู่แล้ว แต่ยังไม่ครบ 1 แสนบาท สามารถนำค่าเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญไปรวมกับสิทธิ์ลดหย่อนประกันชีวิตแบบทั่วไปให้ครบ 1 แสนบาทก่อน ส่วนที่เหลือก็ยังสามารถนำมาลดหย่อนโดยใช้สิทธิ์เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญได้ 15% ของเงินได้ที่เสียภาษี แต่ไม่เกิน 200,000 บาท กองทุน SSF หรือ Super Savings Fund เป็นกองทุนรวมเพื่อการออมที่ลงทุนหลักทรัพย์ได้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นตราสารหนี้ หุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ กองทุนดัชนี ทองคำ อสังหาริมทรัพย์ ฯลฯ ปรับรูปแบบมาจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว หรือ LTF (Long Term Equity Fund) ที่ลงทุนในหุ้นเป็นหลัก จำนวน : สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000 บาท เงื่อนไข : - ต้องซื้อระหว่างวันที่ 1 มกราคม - 31 ธันวาคม 2564 จึงจะใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีในปี 2564 ได้ - ต้องถือครองอย่างน้อย 10 ปี (วันชนวัน) โดยไม่สามารถขายได้ หากขายก่อนครบกำหนด จะถือว่าทำผิดเงื่อนไขลดหย่อนภาษี และต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับการยกเว้น - จำนวนเงินที่ซื้อกองทุน SSF เมื่อรวมกับกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF), กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.), กองทุนครูโรงเรียนเอกชน, กองทุนการออมแห่งชาติ และประกันชีวิตแบบบำนาญ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ในแต่ละปีภาษี จำนวน : หักลดหย่อนได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 500,000 บาท เงื่อนไข : - เมื่อซื้อ RMF รวมกับกองทุนรวม SSF + กบข. + กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ + กองทุนครูโรงเรียนเอกชน + ประกันชีวิตแบบบำนาญ + กองทุนการออมแห่งชาติ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท - ไม่มีขั้นต่ำในการซื้อ - ต้องซื้อต่อเนื่องทุกปี หรืออย่างน้อยปีเว้นปี - ต้องลงทุนอย่างน้อย 5 ปีเต็ม นับจากวันที่ลงทุนวันแรก โดยนับเฉพาะปีที่มีการซื้อหน่วยลงทุน คือ ปีใดไม่ลงทุนจะไม่นับว่ามีการลงทุนในปีนั้น - ต้องลงทุนต่อเนื่องจนอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ จำนวน : ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินปีละ 10,000 บาท ส่วนจำนวนเงินที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 15% ของรายได้ และไม่เกิน 490,000 บาท จะได้รับยกเว้น ไม่ต้องนำไปรวมกับเงินได้ที่ต้องเสียภาษี เงื่อนไข : เงินสมทบกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ เมื่อรวมกับกองทุนรวม SSF, กองทุนรวม RMF, กบข., กองทุนครูโรงเรียนเอกชน, ประกันชีวิตแบบบำนาญ, กองทุนการออมแห่งชาติ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท จำนวน : ลดหย่อนภาษีได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี เงื่อนไข : เมื่อรวมกับกองทุนรวม SSF, RMF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, กองทุนครูโรงเรียนเอกชน, ประกันชีวิตแบบบำนาญ, กองทุนการออมแห่งชาติ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท จำนวน : ลดหย่อนภาษีได้เท่าที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 15% ของเงินได้ที่ต้องเสียภาษี เงื่อนไข : เมื่อรวมกับกองทุนรวม SSF, กบข., RMF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, ประกันชีวิตแบบบำนาญ, กองทุนการออมแห่งชาติ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท จำนวน : ตามจำนวนที่จ่ายจริง สูงสุดปีละ 13,200 บาท เงื่อนไข : เมื่อรวมกับกองทุนรวม SSF, กบข., RMF, กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ, ประกันชีวิตแบบบำนาญ, กองทุนครูโรงเรียนเอกชน ต้องไม่เกิน 500,000 บาท (อ่านเพิ่มเติม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพคืออะไร) จำนวน : ลดหย่อนได้ตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 100,000 บาท เงื่อนไข : - เป็นดอกเบี้ยจากเงินกู้การเช่าซื้อบ้าน คอนโด หรือที่อยู่อาศัย โดยเราต้องอยู่อาศัยในบ้านหลังนี้ด้วย - ต้องเป็นการกู้เพื่อซื้อหรือสร้างที่อยู่บนที่ดินของตัวเอง หรือกู้เพื่อซื้อคอนโดมิเนียม - ต้องเป็นการกู้ยืมจากสถาบันการเงินภายในประเทศ เช่น ธนาคารพาณิชย์และธนาคารของรัฐต่าง ๆ โดยทรัพย์สินที่กู้ต้องใช้มาเป็นหลักในการค้ำประกันการกู้ (จำนอง) ด้วย - หากมีการกู้สำหรับที่อยู่อาศัยมากกว่า 1 แห่ง สามารถใช้ลดหย่อนรวมกันได้ทุกแห่ง แต่ต้องไม่เกิน 100,000 บาท - กรณีกู้ร่วมกันหลายคน ก็ให้แบ่งดอกเบี้ยคนละเท่า ๆ กัน โดยไม่สนใจว่าผู้กู้ร่วมมีรายได้ที่จะเสียภาษีหรือไม่ และรวมกันแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท แบ่งเป็นกลุ่มเงินบริจาคที่ลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า และกลุ่มเงินบริจาคที่ลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง จำนวน : 2 เท่าของจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอย่างอื่นก่อนหักลดหย่อนเงินบริจาค เช่น หากบริจาคเงินให้สถานศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด 3,000 บาท ก็จะสามารถหักลดหย่อนได้ 2 เท่า คือ 6,000 บาท เงื่อนไข : - ต้องเป็นสถานศึกษาที่ ศธ. กำหนด - ต้องบริจาคและบันทึกข้อมูลผ่านระบบ e-Donation เท่านั้น ตรวจสอบรายชื่อสถานศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนด ให้ใช้สิทธิ์ลดหย่อนเงินบริจาค จำนวน : 2 เท่าของจำนวนที่จ่ายจริง แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคเพื่อสนับสนุนการศึกษาแล้วต้องไม่เกิน 10% ของเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนอื่น ๆ แล้ว เงื่อนไข : - เป็นการบริจาคให้สถานพยาบาลต่าง ๆ ของราชการ ไม่ว่าจะเป็นสถาบันการศึกษา องค์การมหาชน หรือหน่วยงานต่าง ๆ - ต้องมีหลักฐานใบเสร็จรับเงิน หรือมีการบันทึกข้อมูลบริจาคผ่านระบบ e-Donation ซึ่งส่งข้อมูลถึงกรมสรรพากรโดยตรง - การบริจาคเงินให้สภากาชาดไทยผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 ก็สามารถลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่า ตรวจสอบรายชื่อสถานพยาบาลของทางราชการที่หักลดหย่อนเงินบริจาคได้ 2 เท่า จำนวน : 2 เท่าของจำนวนที่จ่ายจริง แต่เมื่อรวมกับเงินบริจาคเพื่อสนับสนุนการศึกษาแล้วต้องไม่เกิน 10% ของเงินได้พึงประเมินหลังหักค่าใช้จ่ายและหักลดหย่อนอื่น ๆ แล้ว เงื่อนไข : - เป็นการบริจาคเงินให้หน่วยงานด้านกีฬาที่สังกัดสมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย - มีหลักฐานใบเสร็จรับเงิน หรือมีการบันทึกข้อมูลบริจาคผ่านระบบ e-Donation ซึ่งส่งข้อมูลถึงกรมสรรพากรโดยตรง ตรวจสอบรายชื่อหน่วยงานด้านกีฬาที่หักลดหย่อนได้ 2 เท่า ตรวจสอบรายชื่อหน่วยรับบริจาคที่ใช้ระบบ e-Donation จำนวน : ตามที่บริจาคจริง แต่ต้องไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอย่างอื่น เงื่อนไข : - เป็นการบริจาคเงินเพื่อสาธารณกุศล ให้แก่วัดวาอาราม มูลนิธิ สมาคม สถานสาธารณกุศล สถานสงเคราะห์ ฯลฯ ตรวจสอบรายชื่อมูลนิธิ สมาคม สถานสาธารณกุศล ที่หักลดหย่อนเงินบริจาคได้ ตรวจสอบรายชื่อสถานสงเคราะห์ สถานพักฟื้นบำบัดและฟื้นฟูเด็ก คนชรา คนพิการ ที่หักลดหย่อนเงินบริจาคได้ จำนวน : ตามจำนวนที่บริจาคจริง แต่รวมกันแล้วไม่เกิน 10,000 บาท * กรณีผู้มีเงินได้เป็นผู้พิการ ที่มีบัตรประจำตัวคนพิการตามกฎหมายว่าด้วยการส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ. 2550 ซึ่งเป็นผู้อยู่ในไทย และมีอายุไม่เกิน 65 ปีบริบูรณ์ ในปีภาษี จะได้รับยกเว้นเงินได้ เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 190,000 บาท ในปีภาษีนั้น * กรณีเป็นผู้สูงอายุ มีอายุไม่ต่ำกว่า 65 ปีบริบูรณ์ ในปีภาษี จะได้รับยกเว้นเงินได้เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 190,000 บาท ในปีภาษีนั้น * กรณีมีเครดิตภาษีเงินปันผล สำหรับคนที่ลงทุนในหุ้น ใช้ยกเว้นภาษีได้ตามสัดส่วนที่ได้รับจากเงินปันผล โดยแนะนำให้สมัครสมาชิกที่เว็บไซต์ ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย แล้วดาวน์โหลดเอกสารไปใช้ยื่นสรรพากร โดยที่เราไม่ต้องคำนวณให้ยุ่งยาก หรือหากยื่นภาษีทางออนไลน์ ก็สามารถดาวน์โหลดไฟล์ไปใส่ในเว็บไซต์ยื่นภาษีออนไลน์ของกรมสรรพากรได้เลย เมื่อทราบว่าปีนี้มีค่าลดหย่อนอะไรบ้างแล้ว ก็เตรียมเอกสารต่าง ๆ ให้พร้อม เพื่อยื่นภาษีในช่วงต้นปี 2565 ซึ่งปัจจุบันสามารถยื่นภาษีออนไลน์ผ่านเว็บไซต์กรมสรรพากรได้แล้วด้วย โดยศึกษาขั้นตอนการยื่นภาษีออนไลน์ ดูได้เลย เงินเดือนเท่าไหร่ถึงต้องเสียภาษี เช็กเลย...ถ้ามีรายได้เท่านี้ ต้องเสียภาษีกี่บาท วิธีคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ก่อนยื่นภาษี แนะนำ 5 แอปฯ คำนวณภาษีบนมือถือ โหลดฟรี ใช้งานง่าย 6 วิธีขอคืนภาษี แบบได้รับเงินเร็วทันใจ ไม่ต้องรอนาน 10 ขั้นตอนง่าย ๆ ยื่นภาษีออนไลน์ มือใหม่ทำตามได้ ขายของออนไลน์เสียภาษีอย่างไร ? วิธีคำนวณง่าย ๆ ก่อนยื่นภาษี แยกยื่นภาษีสามี-ภรรยา VS รวมยื่น แบบไหนเหมาะกับใคร หักภาษี ณ ที่จ่ายไปแล้ว จะต้องยื่นคำนวณภาษีอีกไหม ยื่นภาษีผิดทำไงดี ไม่ต้องตกใจไป แค่ยื่นใหม่ก็จบแล้ว ! ผ่อนภาษี ได้ 3 งวด ทางเลือกง่าย ๆ ของคนจ่ายภาษี * หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 23 ธันวาคม 2564 ขอบคุณข้อมูลจาก กรมสรรพากร (1), (2), (3) เฟซบุ๊ก สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน
แสดงความคิดเห็น