ช้อปดีมีคืน ได้เงินคืนเท่าไร ซื้ออะไรได้บ้าง ซื้อของออนไลน์ใช้ลดภาษีได้ไหม มาทำความเข้าใจโครงการช้อปดีมีคืน 2563 ให้ชัดเจน ช้อปดีมีคืน 2563 ก็คือมาตรการช่วยลดหย่อนภาษีเหมือนกับช้อปช่วยชาติในปีก่อน ๆ โดยให้ผู้เสียภาษีเงินได้ฯ นำค่าใช้จ่ายจากการซื้อสินค้าและบริการไปใช้ลดหย่อนภาษี ณ ตอนที่ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาในช่วงต้นปี 2564 อย่างไรก็ตาม "ช้อปดีมีคืน" ครั้งนี้ มีบางเงื่อนไขที่ต่างจากช้อปช่วยชาติอยู่บ้าง ดังนั้น ใครที่กำลังเตรียมตัวไปช้อปปิ้งที่ไหน มาเช็กให้ชัวร์ก่อน เพื่อจะได้ไม่พลาดสิทธิ์ อ่านเพิ่มเติม : ลดหย่อนภาษี 2564 มีอะไรบ้าง รู้ไว้ก่อนยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คนที่ได้ประโยชน์จากมาตรการช้อปดีมีคืน 2563 จะต้องเป็นผู้ที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปี 2563 ที่จะยื่นแบบภาษีในต้นปี 2564 ส่วนคนที่ไม่มีรายได้ หรือ มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี หรือ มีรายได้ถึงเกณฑ์เสียภาษีแต่มีค่าลดหย่อนอื่น ๆ ที่ช่วยให้ไม่ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว จะไม่ได้รับประโยชน์จากมาตรการนี้ เพราะไม่ต้องเสียภาษีอยู่แล้ว จึงไม่สามารถนำค่าใช้จ่ายจากช้อปดีมีคืนไปหักภาษีได้ จะซื้อช่วงนี้หรือซื้อเมื่อไร ก็ไม่ต่างกัน ทั้งนี้ หากเป็นผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือเป็นผู้ที่ลงทะเบียนคนละครึ่ง จะไม่สามารถใช้สิทธิ์ช้อปดีมีคืนได้อีก ผู้ใช้สิทธิ์เราเที่ยวด้วยกัน ก็สามารถใช้สิทธิ์ช้อปดีมีคืนได้ด้วย ใช้สิทธิ์ได้ตั้งแต่วันที่ 23 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2563 สินค้าที่สามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้นั้น ต้องเป็นสินค้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) และต้องซื้อสินค้าจากร้านค้าที่ผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม อย่างเช่น ห้างสรรพสินค้า ซูเปอร์มาร์เกต ร้านสะดวกซื้อ ร้านอาหารที่จดทะเบียน VAT หรือร้านค้าทั่วไปที่ออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปได้เท่านั้น สามารถซื้อได้ทั้งหนังสือที่เป็นสิ่งพิมพ์ (ทุกประเภท ยกเว้นนิตยสารและหนังสือพิมพ์) รวมทั้ง e-Book เพื่อเป็นการส่งเสริมให้คนไทยรักการอ่านมากขึ้น โดยต้องซื้อจากร้านที่เป็นบริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล และสามารถออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป หรือใบเสร็จรับเงินได้ ทั้งนี้หากเป็น e-Book เมื่อซื้อผ่านออนไลน์รูปแบบต่าง ๆ หากมีเอกสารหลักฐานชัดเจนก็นำมาหักลดหย่อนภาษีได้ ต้องเป็นสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ (OTOP) ที่ได้ลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชนแล้ว และมีหลักฐานเป็นใบเสร็จรับเงิน หรือใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปที่ระบุว่าเป็นรายการซื้อสินค้าหนึ่งตำบลหนึ่งผลิตภัณฑ์ โดยสามารถตรวจสอบร้านค้าได้ที่ otoptoday ส่วนสินค้าและบริการที่ไม่สามารถใช้สิทธิ์ได้คือ 1. สุรา เบียร์ และไวน์ 2. ยาสูบ 3. น้ำมันและก๊าซสำหรับเติมยานพาหนะ 4. รถยนต์ รถจักรยานยนต์ และเรือ 5. หนังสือพิมพ์และนิตยสาร และค่าบริการหนังสือพิมพ์และนิตยสารที่อยู่ในรูปของข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบอินเทอร์เน็ต 6. บริการจัดนำเที่ยว 7. ที่พักในโรงแรม นอกจากนี้ สินค้าหรือบริการบางประเภทที่ไม่ได้เสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7% อยู่แล้ว ก็จะไม่สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้ เช่น - ผัก-ผลไม้สดที่ยังไม่ได้แปรรูป - เนื้อหมู เนื้อไก่ เนื้อปลา - ทองคำแท่ง - ค่ารักษาพยาบาล - ค่าทำศัลยกรรม วงเงินสูงสุดที่จะนำมาหักลดหย่อนภาษีได้คือ 30,000 บาท ถึงจะให้วงเงินสูงสุดถึง 30,000 บาท แต่ไม่ได้หมายความว่าจะนำมาลดภาษีได้ 30,000 บาททันที เพราะจริง ๆ แล้วต้องนำไปคำนวณภาษีตามขั้นภาษีที่เราเสียอยู่ก่อน เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ดูได้จากตารางข้างล่างนี้ ซึ่งอัตราภาษีแบ่งเป็นขั้นตามรายได้สุทธิ จะเห็นว่าเราจะได้รับภาษีคืนเท่าไร ขึ้นอยู่กับฐานภาษีของตัวเอง เช่น - คนที่มีฐานภาษี 35% หากซื้อสินค้าไป 30,000 บาท เมื่อนำไปคำนวณค่าลดหย่อนตอนยื่นแบบภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาแล้ว จะได้ภาษีคืนถึง 10,500 บาทเลยทีเดียว เหมือนกับการซื้อสินค้าแบบมีส่วนลดถึง 35% ซึ่งเป็นอัตราคืนภาษีสูงสุดของนโยบายนี้ - คนที่มีฐานภาษีแค่ 5% หากจ่ายซื้อสินค้าไป 30,000 บาท ก็จะได้ภาษีคืนเพียง 1,500 บาทเท่านั้น หรือได้ส่วนลดจากการซื้อสินค้าแค่ 5% เท่ากับว่าคนที่มีฐานภาษีสูง ๆ จะได้ประโยชน์จากมาตรการช้อปช่วยชาติคุ้มค่าที่สุด ส่วนผู้ที่เสียภาษีในอัตราน้อย ๆ เช่น คนที่มีเงินเดือน 30,000 บาท เสียภาษีเพียงแค่ 5% อาจต้องพิจารณาด้วยว่า สินค้าที่เราจะซื้อนั้นจำเป็นหรือไม่ เพราะหากต้องซื้อของมูลค่า 30,000 บาทเพื่อแลกกับส่วนลดเพียงแค่ 1,500 บาท อาจไม่คุ้มค่า ยกเว้นว่ามีของที่ต้องการซื้ออยู่แล้ว ก็ถือว่าได้ส่วนลด 5% พอดี หากเป็นร้านค้าออนไลน์ ที่อยู่ในระบบภาษีและออกใบกำกับภาษีที่ถูกต้อง เพื่อใช้เป็นหลักฐานในการลดหย่อนภาษี ก็สามารถใช้สิทธิ์ได้ ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต บัตรเดบิต ก็ใช้รูดซื้อสินค้าและบริการได้ โดยต้องออกใบกำกับภาษีระหว่างวันที่ 23 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2563 กรณีซื้อสินค้าเงินผ่อนก็เข้าเกณฑ์ได้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีเช่นเดียวกัน หากร้านค้าออกใบกำกับภาษีให้ตามเงื่อนไข โดยนำยอดเงินทั้งหมดที่ต้องจ่ายในใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ใช้ยื่นลดหย่อนภาษีได้เลย สามารถซื้อสินค้ามูลค่ามากกว่า 30,000 บาทได้ แต่จะนำมาหักลดหย่อนภาษีได้เพียง 30,000 บาทเท่านั้น กรณีซื้อสินค้าทั่วไปจะต้องใช้ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป ตามมาตรา 86/4 แห่ง ป.รัษฎากร ซึ่งจะต้องมีการระบุข้อความดังนี้ 1. คำว่า "ใบกำกับภาษี" ในที่ที่เห็นได้เด่นชัด 2. ชื่อ ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของร้านค้า 3. ชื่อ ที่อยู่ และเลขประจำตัวผู้เสียภาษีของผู้ซื้อ (เลขประจำตัวผู้เสียภาษี = เลขประจำตัวบัตรประชาชน) โดยประเด็นนี้มีสิ่งที่ต้องรู้ คือ - ชื่อและที่อยู่ของผู้ซื้อ จำเป็นต้องระบุในใบกำกับภาษี - เลขบัตรประจำตัวประชาชนของผู้ซื้อไม่ได้บังคับ หากใบกำกับภาษีนั้นไม่ได้ระบุเลขบัตรประชาชนของผู้ซื้อ ก็ยังสามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้ - ที่อยู่ของผู้ซื้อ จะใช้ที่อยู่ตามบัตรประชาชน ตามทะเบียนบ้าน หรือที่อยู่ในปัจจุบันก็ได้ 4. หมายเลขของใบกำกับภาษี และหมายเลขลำดับของเล่ม (ถ้ามี) 5. ชื่อ ชนิด ประเภท ปริมาณ และมูลค่าของสินค้าหรือบริการ 6. จำนวนภาษีมูลค่าเพิ่มที่คำนวณจากมูลค่าของสินค้าหรือบริการ โดยให้แยกออกจากมูลค่าของสินค้าหรือบริการอย่างชัดแจ้ง 7. วัน เดือน ปี ที่ออกใบกำกับภาษี 8. ข้อความอื่นที่อธิบดีกำหนด (ถ้ามี) เช่น คำว่า เอกสารออกเป็นชุด สำเนาใบกำกับภาษี ฯลฯ วิธีขอใบกำกับภาษีก็ไม่ยาก แค่ยื่นบัตรประจำตัวประชาชนพร้อมใบเสร็จรับเงินให้ผู้ขายสินค้าเท่านั้น ทั้งนี้ใบกำกับภาษีต้องมีชื่อผู้ซื้อสินค้าหรือชำระค่าบริการเพียงคนเดียว ไม่สามารถนำใบกำกับภาษีที่มีผู้ซื้อสินค้าหลายคนมาหักลดหย่อนได้ หากออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปไปแล้ว แต่มีข้อมูลบางส่วนผิดเล็กน้อย เช่น สะกดชื่อผิดเล็กน้อย สามารถให้พนักงานที่ออกใบกำกับภาษีแก้ไขและเซ็นชื่อกำกับได้ แต่หากข้อมูลผิดเยอะ เช่น ใส่ชื่อ-นามสกุลผิด ก็ให้นำใบกำกับภาษีใบเดิมไปยกเลิก และออกใบใหม่แทน กรณีซื้อหนังสือ หรือสินค้าโอทอป ใบเสร็จรับเงินจะต้องมีรายการอย่างน้อย ดังนี้ 1. เลขประจำตัวภาษีอากรของผู้ขาย 2. ชื่อหรือยี่ห้อของผู้ขาย 3. เลขลำดับของเล่มและใบเสร็จรับเงิน 4. วัน/เดือน/ปีที่ออก 5. ชื่อ นามสกุล และเลขประจำตัวที่ผู้เสียภาษีอากรของผู้ซื้อ 6. ชนิด ชื่อ จำนวน และราคาสินค้า 7. จำนวนเงิน สามารถรวมใบกำกับภาษีหลายใบได้ โดยต้องเป็นการซื้อสินค้าหรือค่าบริการระหว่างวันที่ 23 ตุลาคม - 31 ธันวาคม 2563 และรวมกันแล้วมีมูลค่าไม่เกิน 30,000 บาท หากเกิน 30,000 บาท จะใช้สิทธิ์ลดหย่อนภาษีได้เพียง 30,000 บาทเท่านั้น หลายคนซื้อสินค้าในซูเปอร์มาร์เกต คงจะเห็นว่าสินค้าบางรายการเสีย VAT ขณะที่บางรายการไม่เสีย VAT แต่ออกใบกำกับภาษีรวมกันมา กรณีสามารถใช้สิทธิ์ช้อปดีมีคืนได้ แต่ต้องนำเฉพาะมูลค่าของสินค้าที่เสีย VAT มาใช้ลดหย่อนภาษีเท่านั้น เช่น ซื้อสินค้ารวม 1,000 บาท ออกใบกำกับภาษีแบบเต็มรูปรวมกันเป็นใบเดียว เป็นสินค้าที่เสีย VAT 700 บาท และไม่เสีย VAT 300 บาท ดังนั้น เวลากรอกตัวเลขยื่นภาษีจะนำไปใช้ลดหย่อนได้เฉพาะมูลค่า 700 บาทเท่านั้น กรณีสามีหรือภรรยามีรายได้ฝ่ายเดียว : ฝ่ายที่มีเงินได้ใช้สิทธิ์ได้สูงสุด 30,000 บาท กรณีสามีหรือภรรยา ต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ และแยกยื่นภาษี : แต่ละคนใช้สิทธิ์ได้สูงสุดคนละ 30,000 บาท กรณีสามีหรือภรรยา ต่างฝ่ายต่างมีเงินได้ และยื่นภาษีรวมกัน : แต่ละคนใช้สิทธิ์ได้สูงสุดคนละ 30,000 บาท รวมเป็น 60,000 บาท ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัย สามารถสอบถามได้ที่สายด่วน กรมสรรพากร 1161บทความและข่าวช้อปดีมีคืน - ช้อปดีมีคืน ซื้อทอง มือถือ เปลี่ยนยาง ประกันรถยนต์ ลดหย่อนภาษีได้ไหม ซื้ออะไรใช้สิทธิ์ได้บ้าง ? - สมัครคนละครึ่ง แต่เกิดเปลี่ยนใจ อยากใช้ช้อปดีมีคืน ทำได้ไหม ที่นี่มีคำตอบ - ช้อปดีมีคืน ซื้อของออนไลน์ เอามาลดภาษีได้ - มั่นใจคนละครึ่ง ระบบลงทะเบียนไม่ล่ม - คนละครึ่ง VS ช้อปดีมีคืน เลือกใช้สิทธิ์โครงการไหน ได้ประโยชน์กับเรามากที่สุด - ไขข้อสงสัย ช้อปดีมีคืน ใช้ร่วมกับโครงการ คนละครึ่ง - บัตรคนจน ได้ไหม - ซื้ออะไรได้บ้าง ? - คลัง แจงข้อเท็จจริง โครงการช้อปดีมีคืน ดียังไง หลังเกิดเสียงวิจารณ์เอื้อเฉพาะคนรวย * หมายเหตุ : อัปเดตข้อมูลล่าสุดวันที่ 30 พฤศจิกายน 2563 ขอบคุณข้อมูลจาก กรมสรรพากร, กองกฎหมาย กรมสรรพากร, กองกฎหมาย กรมสรรพากร
แสดงความคิดเห็น