คลังเปิดขายบอนด์ 4 พันล้าน ธปท. หนุนนักลงทุนบุกอาเซียน (ไทยโพสต์)
คลังเตรียมขายพันธบัตรหรือหุ้นกู้ ตราสารแห่งหนี้ระยะยาวซึ่งผู้ออกมีข้อผูกพันตามกฎหมายที่จะชำระดอกเบี้ยและ เงินต้นแก่ผู้ซื้อตามเวลาที่กำหนด
ออมทรัพย์รอบใหม่ให้ประชาชนจับจอง 4,000 ล้านบาท ขณะที่ ธปท. หวังนักลงทุนไทยไปต่างแดนมากขึ้น
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2556 นางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า จะแถลงการจัดจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ให้กับนักลงทุนรายย่อย ประชาชนทั่วไป จำนวน 4,000 ล้านบาท ภายในสัปดาห์นี้ โดยการออกพันธบัตรออมทรัพย์ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลปีงบประมาณ 2557 ที่ตั้งขาดดุลไว้ 2.5 แสนล้านบาท
สำหรับพันธบัตรออมทรัพย์ที่กระทรวงการคลังออกครั้งนี้มีอายุ 3 ปี จะให้ผลตอบแทน 3% กว่า ๆ ซึ่งผู้อำนวยการ สบน. จะสรุปก่อนที่จะมีการแถลงขาย โดยประชาชนทั่วไปสามารถซื้อได้ตั้งแต่ 1,000 บาท จนถึงไม่เกิน 2 ล้านบาท โดยต้องซื้อผ่านตู้เอทีเอ็มของ 4 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์
ทั้งนี้ สบน. คาดว่าจะมีนักลงทุนรายย่อยซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ครั้งนี้เดือนละ 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้จำหน่ายหมดภายใน 4 เดือน หลังจากนั้นจะพิจารณาออกพันธบัตรออมทรัพย์ครั้งใหม่ต่อไป เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชนทั่วไป และเป็นการสร้างอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในตลาดให้มีความต่อเนื่อง
แหล่งข่าวกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สบน. ยังอยู่ระหว่างการทำแผนเงินกู้จำนำข้าวรอบใหม่ 1.4 แสนล้านบาท ซึ่งจะต้องมีการนำเข้าให้คณะกรรมการกำกับนโยบายหนี้สาธารณะ ที่มีนายกิตติรัตน์ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง เป็นประธาน เห็นชอบเพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติต่อไป
สำหรับหนี้สาธารณะของไทย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2556 มีจำนวน 5.43 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 45.49% ของจีดีพี เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นสุทธิ 1.27 แสนล้านบาท
ด้านนางสุธาศินี นิมิตกุล ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายและกำกับการแลกเปลี่ยนเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การเปิดเสรีทางการเงินหลังมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี จะทำให้ตลาดเงินของไทยและภูมิภาคผันผวนไม่มากนัก เนื่องจากปัจจุบันประเทศในภูมิภาคมีการลงทุนระหว่างกันอยู่แล้วในสัดส่วนที่ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการลงทุนทางตรง ซึ่งจะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการรายใหญ่และรายย่อยของไทยเข้าไปลงทุนในอาเซียน โดยเฉพาะอินโดนีเซีย สิงคโปร์ และเมียนมาร์
ขณะที่การลงทุนในตลาดทุนยังคงไม่สูงมากนัก ซึ่งการลงทุนในตลาดทุนระหว่างประเทศนั้น ทาง ธปท. มีการเปิดเสรีในทุกด้าน เช่น ให้บุคคลธรรมดาในไทยสามารถลงทุนในต่างประเทศได้ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ จากเดิมได้แค่ในรูปบริษัท แต่การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ระหว่างกันกลับมีสัดส่วนที่ต่ำ โดยเชื่อว่าเป็นผลจากบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศไทยยังให้น้ำหนักกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากกว่าตลาดภูมิภาค ต่างจากสิงคโปร์และมาเลเซียที่สนับสนุนให้มีการลงทุนในต่างชาติ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2556 นางสาวจุฬารัตน์ สุธีธร ผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า จะแถลงการจัดจำหน่ายพันธบัตรออมทรัพย์ให้กับนักลงทุนรายย่อย ประชาชนทั่วไป จำนวน 4,000 ล้านบาท ภายในสัปดาห์นี้ โดยการออกพันธบัตรออมทรัพย์ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลปีงบประมาณ 2557 ที่ตั้งขาดดุลไว้ 2.5 แสนล้านบาท
สำหรับพันธบัตรออมทรัพย์ที่กระทรวงการคลังออกครั้งนี้มีอายุ 3 ปี จะให้ผลตอบแทน 3% กว่า ๆ ซึ่งผู้อำนวยการ สบน. จะสรุปก่อนที่จะมีการแถลงขาย โดยประชาชนทั่วไปสามารถซื้อได้ตั้งแต่ 1,000 บาท จนถึงไม่เกิน 2 ล้านบาท โดยต้องซื้อผ่านตู้เอทีเอ็มของ 4 ธนาคาร ได้แก่ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารไทยพาณิชย์
ทั้งนี้ สบน. คาดว่าจะมีนักลงทุนรายย่อยซื้อพันธบัตรออมทรัพย์ครั้งนี้เดือนละ 1,000 ล้านบาท ซึ่งจะทำให้จำหน่ายหมดภายใน 4 เดือน หลังจากนั้นจะพิจารณาออกพันธบัตรออมทรัพย์ครั้งใหม่ต่อไป เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชาชนทั่วไป และเป็นการสร้างอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงในตลาดให้มีความต่อเนื่อง
แหล่งข่าวกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า สบน. ยังอยู่ระหว่างการทำแผนเงินกู้จำนำข้าวรอบใหม่ 1.4 แสนล้านบาท ซึ่งจะต้องมีการนำเข้าให้คณะกรรมการกำกับนโยบายหนี้สาธารณะ ที่มีนายกิตติรัตน์ ระนอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.การคลัง เป็นประธาน เห็นชอบเพื่อเสนอให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติต่อไป
สำหรับหนี้สาธารณะของไทย ณ สิ้นเดือนกันยายน 2556 มีจำนวน 5.43 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 45.49% ของจีดีพี เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนก่อนหน้า หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นสุทธิ 1.27 แสนล้านบาท
ด้านนางสุธาศินี นิมิตกุล ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายและกำกับการแลกเปลี่ยนเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การเปิดเสรีทางการเงินหลังมีการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี จะทำให้ตลาดเงินของไทยและภูมิภาคผันผวนไม่มากนัก เนื่องจากปัจจุบันประเทศในภูมิภาคมีการลงทุนระหว่างกันอยู่แล้วในสัดส่วนที่ค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการลงทุนทางตรง ซึ่งจะเห็นได้ว่าผู้ประกอบการรายใหญ่และรายย่อยของไทยเข้าไปลงทุนในอาเซียน โดยเฉพาะอินโดนีเซีย สิงคโปร์ และเมียนมาร์
ขณะที่การลงทุนในตลาดทุนยังคงไม่สูงมากนัก ซึ่งการลงทุนในตลาดทุนระหว่างประเทศนั้น ทาง ธปท. มีการเปิดเสรีในทุกด้าน เช่น ให้บุคคลธรรมดาในไทยสามารถลงทุนในต่างประเทศได้ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ จากเดิมได้แค่ในรูปบริษัท แต่การลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ระหว่างกันกลับมีสัดส่วนที่ต่ำ โดยเชื่อว่าเป็นผลจากบริษัทหลักทรัพย์ในประเทศไทยยังให้น้ำหนักกับการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากกว่าตลาดภูมิภาค ต่างจากสิงคโปร์และมาเลเซียที่สนับสนุนให้มีการลงทุนในต่างชาติ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
