1. เลือกทำเลให้ดี
เรื่องทำเลที่ตั้งเป็นปัจจัยสำคัญต้น ๆ ที่เราต้องคำนึงถึง เพราะเมื่อเลือกไปแล้วจะไม่สามารถย้ายได้อีก ดังนั้นควรเลือกทำเลบ้านที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของเราให้มากที่สุด เช่น ถ้าต้องเดินทางอยู่ทุกวัน ก็ควรเลือกบ้านในละแวกที่มีถนนหนทางดี สามารถเดินทางได้สะดวก มีการคมนาคมได้หลายรูปแบบ หรือมีสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันพอสมควร เช่น ใกล้ร้านอาหาร ร้านค้า ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล ธนาคาร ฯลฯ
และนอกจากเลือกทำเลบ้านแล้ว ก็อย่าลืมสำรวจสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ บ้านด้วยนะคะว่าเป็นอย่างไร เช่น พื้นที่รอบ ๆ นั้นมีน้ำท่วมถึงหรือไม่ ใกล้จุดทิ้งขยะ โรงงาน หรือคลองที่มีน้ำเน่าเสียหรือเปล่า หรืออยู่ใกล้ชุมชนแออัด ที่สำคัญคือ อยู่ในแนวเวนคืนเพื่อโครงการในอนาคตด้วยไหม โดยตรวจสอบได้ที่กรมโยธา, การทางพิเศษแห่งประเทศไทย สำนักงานเขต หรือกรมที่ดิน
อีกเรื่องหนึ่งก็คือ ควรตรวจสอบที่ตั้งของบ้านด้วย อย่างถ้าเราเป็นคนไม่ชอบเสียงดัง ก็ไม่ควรเลือกบ้านที่ติดถนนใหญ่ หรืออยู่ในบริเวณที่มีคนพลุกพล่านมากเกินไป จะได้ใช้ชีวิตอยู่ในบ้านอย่างแฮปปี้
2. มองหาขนาดบ้านที่เหมาะสม
หลายคนชอบอยู่บ้านหลังใหญ่ ๆ มีพื้นที่กว้างขวาง มีห้องนอนหลายห้อง แต่ถ้าเราเป็นครอบครัวเล็ก มีผู้พักอาศัยอยู่ไม่กี่คน ก็ไม่จำเป็นต้องเลือกบ้านขนาดใหญ่จนเกินไปก็ได้ เพราะยิ่งบ้านใหญ่เท่าไรก็ยิ่งมีต้นทุนในการดูแลรักษาสูงขึ้น แถมยังต้องเหนื่อยในการตกแต่งและทำความสะอาดให้ทั่วถึงอีกด้วย หรือในอนาคตคิดจะขายต่อ บ้านหลังใหญ่ก็จะหาคนซื้อต่อได้ยากกว่า
3. ตรวจสอบสภาพบ้านก่อนซื้อ
เมื่อเจอบ้านที่ถูกใจทั้งทำเลและขนาดบ้านแล้ว อย่าเพิ่งรีบซื้อหรือโอนกรรมสิทธิ์ โดยที่ยังไม่ได้เข้าไปตรวจสอบสภาพภายในบ้านเด็ดขาด เพราะแม้สภาพบ้านภายนอกจะดูดี แต่อาจมีปัญหาซุกซ่อนอยู่ภายในก็เป็นได้
แนะนำว่าให้ติดต่อเจ้าของบ้าน หรือนายหน้า ขอเข้าไปตรวจสอบสภาพภายในบ้านให้ละเอียดเสียก่อน โดยตรวจสอบทุกจุดอย่างละเอียด ทั้งระบบไฟฟ้า ประปา ส้วม รอยรั่วซึม ประตู หน้าต่าง เพดาน พื้น รวมทั้งความมั่นคงแข็งแรงของโครงสร้าง อย่างเสา คาน ผนัง กำแพงด้วยว่ามีรอยร้าวหรือทรุดไหม เพราะหากซื้อไปแล้วแต่กลับมาเกิดปัญหาขึ้น เราต้องเสียเงินค่าซ่อมแซมอีกไม่ใช่น้อย ๆ
4. สอบถามสาเหตุที่ขายให้ชัดเจน
หลายคนไม่ได้ถามเจ้าของบ้านว่าทำไมถึงขายบ้านหลังนี้ แต่รู้ไหมว่านี่อาจเป็นคำถามสำคัญที่ทำให้ต่อรองราคาได้มากขึ้น เพราะหากเจ้าของบ้านมีความจำเป็นต้องรีบขาย ไม่ว่าจะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม เราอาจซื้อบ้านได้ในราคาที่ถูกลง
หรือในกรณีไม่เกี่ยวกับเรื่องราคา ก็อาจมีเหตุผลบางอย่างที่เจ้าของบ้านพยายามปกปิด จึงอยากรีบขายบ้าน ดังนั้น ต้องสอบถามเจ้าของบ้านให้แน่ชัดถึงปัญหาต่าง ๆ ที่เคยเกิดขึ้น รวมทั้งพูดคุยกับเพื่อนบ้านไว้หน่อยว่ามีความผิดปกติอะไรไหม เพื่อความสบายใจเมื่อเข้ามาอยู่อาศัย
5. เช็กราคาขายกับราคาประเมิน
คงไม่มีใครอยากซื้อสินค้าในราคาแพงเกินความเป็นจริง ยิ่งเป็นทรัพย์สินที่มีราคาสูงอย่างบ้านด้วยแล้ว ต้องเช็กให้ชัดเจนเลยว่า ราคาบ้านที่ประกาศขายเป็นราคาที่รวมอะไรแล้วบ้าง รวมเฟอร์นิเจอร์ ค่าโอนด้วยไหม แล้วนำไปเปรียบเทียบกับราคาประเมินของกรมที่ดิน หรือราคาประเมินของธนาคารอีกทีว่าเหมาะสมไหม แพงเกินไปหรือเปล่าเมื่อเทียบกับบ้านอื่น ๆ ในบริเวณใกล้เคียงกัน
6. อย่าลืมตรวจสอบเจ้าของกรรมสิทธิ์-การจดจำนอง
อีกข้อสำคัญก็คือ ต้องไม่ลืมตรวจสอบให้ชัดเจนว่า ผู้ที่ขายบ้านและที่ดินให้เราเป็นเจ้าของบ้านตัวจริง หรือเป็นนายหน้าที่ได้รับมอบหมายจากเจ้าของกรรมสิทธิ์มาจริง ๆ ไหม เพราะบางทีอาจเจอผู้แอบอ้างขายบ้าน
นอกจากนี้ ยังต้องตรวจสอบโฉนดว่าถูกต้องหรือไม่ มีการปลอมแปลง ถูกอายัด ติดจำนองหรือเปล่า เพราะส่วนใหญ่แล้วบ้านมักจะติดจำนอง หรือยังผ่อนกับธนาคารไม่หมด ซึ่งถ้าให้ธนาคารเข้ามาช่วยประเมินราคา ก็สามารถตรวจสอบความถูกต้องในเรื่องโฉนดและกรรมสิทธิ์ได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะมีปัญหาตามมาค่ะ
7. อ่านสัญญาให้เคลียร์
ก่อนจะเซ็นชื่อในเอกสารอะไรก็ตาม ต้องอ่านให้ถี่ถ้วน รวมทั้งตกลงกับผู้ขายให้ชัดเจนในเรื่องค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการจดจำนอง โอนกรรมสิทธิ์ ภาษี ค่าส่วนกลาง ค่าธรรมเนียม ฯลฯ ว่าใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ และหลังจากทำสัญญาเรียบร้อยแล้วต้องเก็บเอกสารนี้เอาไว้ให้ดีด้วยนะคะ
ได้ทราบเคล็ดลับดี ๆ ในการพิจารณาเลือกซื้อบ้านมือสองแล้ว หากสนใจอยากได้บ้านมือสองสักหลัง แต่ยังไม่รู้ว่าจะไปหาที่ไหนดีถึงจะมั่นใจ แนะนำให้ลองเข้าเว็บไซต์ ghbhomecenter.com ซึ่งรวบรวมบ้านคุณภาพดี ทำเลเด่น ที่เป็นทรัพย์มือสองของธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ให้เราเลือกหลายพันรายการ
ข้อดีของการซื้อบ้านมือสองจากธนาคารก็คือ ราคาบ้านมักจะต่ำกว่าราคาตลาด และขอสินเชื่อกับธนาคารที่ขายได้ง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น บางครั้งอาจได้รับการยกเว้นค่าธรรมเนียมต่าง ๆ และการอำนวยความสะดวกอื่น ๆ อีกด้วยนะ ดังนั้นเมื่อเลือกบ้านที่ถูกใจได้แล้ว ก็สามารถติดต่อธนาคารอาคารสงเคราะห์ เพื่อขอซื้อทรัพย์ได้เลย ตามขั้นตอนดังนี้
ขั้นตอนการขอซื้อทรัพย์สินรอการขาย
ธนาคารอาคารสงเคราะห์
- ทรัพย์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ติดต่อที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์ สำนักงานใหญ่ อาคาร 1 ชั้น 8 ฝ่ายบริหาร NPA เลขที่ 63 ถนนพระราม 9 เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ โทร. 0-2202-1016, 0-2202-1582-3
- ทรัพย์ในส่วนภูมิภาค ติดต่อที่สาขาของธนาคารที่ตั้งทรัพย์
2. ยื่นคำร้องขอซื้อทรัพย์
3. ชำระเงินประกันการซื้อทรัพย์ตามเงื่อนไขของธนาคาร
- ราคาทรัพย์ไม่เกิน 500,000 บาท ชำระเงินประกัน จำนวน 5,000 บาท
- ราคาทรัพย์เกิน 500,000 บาท แต่ไม่เกิน 1,000,000 บาท ชำระเงินประกันจำนวน 10,000 บาท
- ราคาทรัพย์เกิน 1,000,000 บาท แต่ไม่เกิน 3,000,000 บาท ชำระเงินประกัน จำนวน 20,000 บาท
- ราคาทรัพย์เกิน 3,000,000 บาท ขึ้นไป ชำระเงินประกัน จำนวน 50,000 บาท
4. รอพนักงานแจ้งผลการอนุมัติขาย และนัดทำสัญญาจะซื้อจะขาย โดยผู้ซื้อต้องมาติดต่อธนาคารเพื่อดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งภายใน 30 วัน นับจากวันที่อนุมัติขาย
2. ทะเบียนบ้าน
3. ใบมอบอำนาจ-บัตรประจำตัวประชาชนของผู้มอบและผู้รับมอบอำนาจ (กรณีผู้ซื้อไม่สามารถมายื่นคำร้องด้วยตนเองได้)
ใครกำลังมองหาบ้านมือสองคุณภาพดี ทำเลเด่น ทุกที่ทั่วไทย ลองเลือกหาบ้านที่ต้องการจากเว็บไซต์ ghbhomecenter.com กันดู แนะนำให้เข้าไปเลือกชมและติดตามข้อมูลข่าวสารในเว็บไซต์เรื่อย ๆ นะคะ เพราะธนาคารอาคารสงเคราะห์มักจะมีโปรโมชั่นดี ๆ เงื่อนไขพิเศษ ดอกเบี้ยโดนใจ สำหรับคนอยากได้บ้านมือสองออกมาตลอดทั้งปี
และหากได้บ้านที่ถูกใจแล้ว ก็สามารถขอสินเชื่อเพื่อซื้อบ้านมือสองได้เลย แล้วความฝันที่อยากมีบ้านเป็นของตัวเองสักหลัง จะไม่เป็นเพียงความฝันอีกต่อไป
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Inbox : m.me/GHBank
ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 0-2645-9000
www.ghbank.co.th