สมาคมธนาคารไทยยันเงินกองทุน 5 แบงก์ใหญ่ยังแข็งแกร่งตามเกณฑ์ ธปท. หลังมีประกาศ 2 ฉบับก่อนหน้านี้ นายปรีดี ดาวฉาย กรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย ในนามประธานสมาคมธนาคารไทย เปิดเผยว่า ตามที่ราชกิจจานุเบกษาได้เผยแพร่ประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เมื่อวันที่ 25 กันยายน 2560 ลงนามโดยผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2560 โดยประกาศ ธปท. 2 ฉบับ ได้แก่ ประกาศเรื่อง "แนวทางการระบุและการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ที่มีนัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศ" และประกาศเรื่อง "รายชื่อธนาคารพาณิชย์ที่มีนัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศ" ประจำปี 2560 ซึ่งประกอบด้วย 1. ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) 2. ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) 3. ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) 4. ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และ 5. ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)
สมาคมธนาคารไทย มองว่าประกาศ ธปท. เรื่อง
"แนวทางการระบุและการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ที่มีนัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศ"
(Domestic Systemically Important Banks : D-SIBs) และเรื่อง
"รายชื่อธนาคารพาณิชย์ที่มีนัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศ"
ซึ่งมีธนาคารพาณิชย์ 5 แห่งถูกกำหนดให้เป็น D-SIBs นั้น
เป็นไปตามมาตรฐานการกำกับดูแลสถาบันการเงินตามหลักเกณฑ์ Basel III
ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเสี่ยงของวิกฤตในอนาคต
หลังจากที่ประเทศต่าง ๆ ได้ผ่านพ้นวิกฤตซับไพร์มมาแล้ว
สำหรับประเทศไทย
ประกาศของ ธปท. เกี่ยวกับแนวทางการกำกับดูแลธนาคารพาณิชย์ที่เป็น D-SIBs
ดังกล่าว
จึงเสมือนเป็นจุดเริ่มต้นของการดำเนินการเพื่อป้องกันปัญหาในอนาคตตามมาตรฐานสากล
Basel III อันเป็นการช่วยเสริมสร้างเสถียรภาพให้ระบบการเงินของไทย
ทั้งนี้
ธนาคารพาณิชย์ทั้ง 5 แห่งที่ ธปท. กำหนดให้เป็น
"ธนาคารพาณิชย์ที่มีนัยต่อความเสี่ยงเชิงระบบในประเทศ"
มีอัตราส่วนเงินกองทุนที่สูงกว่าเกณฑ์ที่ ธปท. กำหนดทั้งในปัจจุบัน
และที่ต้องดำรงในปี 2563 ในขณะเดียวกัน
ภาพรวมของระบบธนาคารพาณิชย์ของไทยในปัจจุบัน มีความแข็งแกร่งตามมาตรฐานสากล
โดยมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง
และอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 ที่เป็นส่วนของเจ้าของ ณ สิ้นไตรมาส
2/2560 อยู่ที่ 17.9% และ 15.2% ตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่ ธปท.
กำหนดเช่นเดียวกัน