x close

บ่อน้ำตาแตกเมื่อปิดบัญชี บทเรียนชีวิตที่ธนาคารออมสิน



          เมื่อเจ้าของกระทู้ตัดสินใจปิดบัญชีธนาคารออมสินที่ฝากเงินไว้นานกว่ายี่สิบปี เหตุการณ์ต่อไปนี้ก็เกิดขึ้น

          สมัยเด็ก ๆ พ่อแม่และคุณครูมักจะสอนให้เรารู้จักเก็บหอมรอมริบ พอมีเงินเหลือก็ให้หยอดกระปุก แล้วทุกสิ้นเดือนถึงจะนำเงินออกมาไปฝากธนาคารออมสิน เพื่อรับกระปุกออมสินอันใหม่ ชื่อของธนาคารนี้จึงอยู่ในความทรงจำวัยเด็กของคนจำนวนไม่น้อยเลย จนเวลาผ่านไปหลายสิบปี หลายคนอาจลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าสมัยเรียนประถม คุณพ่อคุณแม่ก็เคยจูงมือเราไปเปิดบัญชีธนาคารออมสินด้วยเหมือนกัน จนเมื่อได้เห็นสมุดบัญชีที่มีลายมือเราสมัยเด็ก ๆ ความทรงจำบางอย่างก็ย้อนกลับมาให้นึกถึง

          คุณ Kill Me Now สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่ได้กลับไปธนาคารออมสินสาขาที่เธอเคยเปิดบัญชีไว้สมัยเด็ก ๆ และเรื่องราวต่อไปนี้ที่ได้โพสต์ไว้ในกระทู้ "บ่อน้ำตาแตกที่ธนาคารออมสิน บทเรียนชีวิตตอนถอนเงิน" ก็สะท้อนความรู้สึกดี ๆ ที่ได้หวนนึกถึงภาพในวัยเยาว์อีกครั้ง และเรื่องราวข้างล่างนี้คงตรงใจใครอีกหลายคนที่เคยฝากเงินไว้ที่ธนาคารออมสินเช่นกัน

"สวัสดีค่ะ วันนี้ได้มีโอกาสโพสต์หลังจากที่ไม่ได้โพสต์มานานมากกกก อยากแชร์เรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นมาไม่นานนี้ เป็นเรื่องที่ตราตรึงใจเรามาก"

          เราเป็นเด็กต่างจังหวัดค่ะ มาเรียนกรุงเทพฯ ตั้งแต่ตอนขึ้นมหาวิทยาลัย อายุประมาณ 18 ปี จนทำงาน แล้วก็ทำอยู่ในกรุงเทพฯ อยู่ จนตอนนี้อายุ 30 ปี เรามีเหตุให้ต้องกลับไปบ้านเกิด เพราะมีธุระสำคัญเกี่ยวกับครอบครัว กลับบ้านไป 4 วัน ตรงกับวันธรรมดา 2 วัน เราจึงวางแผนว่าเราจะไปถอนเงินที่ธนาคารออมสิน เพราะเรามีบัญชีธนาคารออมสินที่สมัครไว้ตั้งแต่อายุประมาณ 7- 8 ขวบ เงินที่สะสมประมาณ เกือบ 8,000 บาท ซึ่งหลังจากที่เรามาเรียนกรุงเทพฯ เราก็ไม่ค่อยสนใจเงินในบัญชีนี้อีกเลย แม่เป็นคนที่ถือบัญชีให้อยู่

          วันที่เรากลับเป็นวันพฤหัสบดี พอวันศุกร์เราก็ชวนแม่ซึ่งเป็นคุณครูโรงเรียนประถมใกล้บ้าน ชวนไปเยี่ยมญาติคนสนิท ระหว่างทางผ่านธนาคารก็จะได้เบิกเงินพอดี ตอนเช้าแม่ยื่นบัญชีเงินฝากมาให้ เรารับสมุดบัญชีรุ่นเก่ามาก สมัยที่ใช้เล่มสีฟ้า มีต้นไม้เป็นราก มีรอยเปียกน้ำเล็กน้อย เปิดดูหน้าแรก มีชื่อเรา กับลายมือที่ขีด คำว่า ด.ญ. ออก แล้วเขียนด้วยปากกาว่า น.ส. เปิดดูยอดเงิน เกือบ 8,000 บาท เราแทบไม่ได้ทำรายการอะไรมาตั้งแต่ช่วงม.ต้น ยกเว้นแม่ฝากให้ปีละ 500-600 บาท ครั้งสุดท้ายเมื่อเดือนตุลาคม ปี 2557

          ลืมบอกว่าธนาคารสาขานี้เป็นธนาคารสาขาอำเภอ เราในวันนั้นสะพายกระเป๋าเป้ เพราะมีของที่ต้องเอาไปค้างบ้านญาติ แต่งตัว กางเกงยีนส์ เสื้อยืด เล็บยาวทาสีแดง แต่นับจากผิวพรรณที่ขาวขึ้น รู้จักแต่งตัวมากขึ้น บวกกับการติดมือถือตลอดเวลา จากท่าทางรวม ๆ  เราในวันนั้นไม่เหมือนเด็กชาวบ้านอย่างที่ควรเป็น

เรากดบัตรคิว เมื่อถึงนัมเบอร์เรา เราเดินไปด้วยความมั่นใจมาก  พูดอย่างมั่น ๆ

"จะมาปิดบัญชีค่ะ"

"ทำไมถึงปิดบัญชีล่ะคะ" พนักงานผู้หญิงวัยประมาณ 30 กว่า ๆ ถามเราด้วยความประหลาดใจ

เราตอบว่า "ตอนนี้ไม่ค่อยได้อยู่แถวนี้ค่ะ"

          พนักงานก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ นอกจากให้เราเปลี่ยนไปรอโต๊ะอีกด้าน เจ้าหน้าที่ธนาคารหายไปนานมาก ๆๆ จนเราหงุดหงิด ขณะนั้นแม่เราเดินไปคุยกับเจ้าหน้าที่ธนาคารเรื่องขอเอกสารสำหรับยื่นภาษี

          เรารอประมาณ 15 นาที เอามือถืออกมาเล่นตามสไตล์ทั่วไป จนเจ้าหน้าที่ท่านเดิมเดินมาเรียกเราไปนั่งอีกที่ แล้วส่งสมุดเล่มเก่าที่เป็นรายละเอียดตั้งแต่ตอนเราเปิดบัญชี เราเข้าใจเลยว่าทำไมพนักงานหายไปนาน เพราะต้องเข้าไปหาสมุดเล่มที่ใช้เปิดบัญชีเล่มนี้ ซึ่งเก่ามาก ๆ  เราต้องเซ็นเอกสารประมาณ 2-3 ที่  พอได้เอกสารมาก็เริ่มเซ็นชื่อแบบเส้นหวัด ๆ จนเจ้าหน้าที่บอกเราว่า

"ช่วยเซ็นให้เหมือนต้นฉบับด้วยค่ะ"


          เราเหลือบไปมองต้นฉบับ เห็นลายมือที่เราเซ็นไว้ตั้งแต่ตอนมาเปิดบัญชี สมัย 7-8 ขวบ เป็นลายมือเราตั้งแต่เด็กมาก ตั้งใจคัดลายมือสุด ๆ  สตันท์ไปประมาณ 15 วิ แต่เรา ก็เซ็นเอกสารแต่โดยดี เราพึมพำเงียบ ๆ กับตัวเองว่า "นาน นานมากกกกกกเลย" พอเซ็นเสร็จเจ้าหน้าบอกให้เรารอหน้าเคาน์เตอร์ หลังจากนี้ต้องไปรับเงินหน้าเคาน์เตอร์ตามปกติ


          ถึงตอนนี้เราจุกตรงอกมากเลยค่ะ  ช่วงที่รอ เชื่อหรือไม่ว่าภาพเก่า ๆ ในชีวิตเรามันหวนกลับมา เตือนความจำเรามาก ๆ นึกถึงภาพที่แม่เดินจูงตนเองมาเปิดบัญชี นั่งรถสองแถวกันมาอย่างทุลักทุเล ตั้งแต่ที่บ้านยังไม่มีรถ มาฝากเงินตั้งแต่เด็ก เพราะทุกครั้งที่ไปเยี่ยมตายายที่ต่างจังหวัด ท่านจะให้เงินทุกครั้ง 50 บาท 100 บาท เราเอาเงินมาสะสมตั้งแต่เด็ก เงินเกือบ 8,000 ที่เราลืมมันไปแล้ว ผ่านเวลา 10 กว่าปี ดอกเบี้ยปีละไม่กี่สตางค์ ตอนนั้นจุกมาก มองหาแม่ ก็เจอว่าแม่ยืนรอเราที่ข้างนอก แม่แต่งตัวปอน ๆ ธรรมดา สองมือ ถือกระเป๋าเป้ให้เรา และตอนนี้แม่ก็แก่กว่าตอนนั้นมากเลย ตอนนี้น้ำตาจะไหล จนเจ้าที่เรียกให้เราไปรับเงิน เรารับเงินมาด้วยความงง และพยายามกลั้นน้ำตาสุดฤทธิ์ กำเงินเกือบ 8,000 บาท อย่างเงียบ ๆ รู้สึกผิดที่ปิดบัญชีนี้

          เดินออกมากข้างนอก แม่ยืนรอเราถือเป้ให้ เราร้องไห้เลยค่ะ แม่รีบถามใหญ่ว่าเป็นอะไร เรากำเงินในมือแน่น ร้องไห้ และบอกกับแม่ว่า "ไม่น่าปิดบัญชีเลยแม่ คิดถึง......คิดถึง...สงสาร... บัญชี  .. เห็นลายมือ แล้วคิดถึง..." พูดวกไปวนมา ปาดน้ำตาหันหลังให้ประตูทางเข้าธนาคาร ข้างหน้าที่แม่นั่งอยู่

          เราคิดอะไรรู้ไหมคะ เราคิดถึงเวลาตอนเด็ก ๆ เวลาที่เราใกล้ชิดกับพ่อแม่ เวลาที่ช่วงชีวิตของเราขาวบริสุทธิ์ ชีวิตมีแต่ พ่อ แม่ พี่ชาย น้องชาย ปู่ ย่า ตา ยาย ได้เล่น ได้สนุก เล่นจมกองดิน มีชีวิตที่ต่างจังหวัดที่เรียบง่ายสมถะ (ปั่นจักรยานไปโรงเรียนกับแม่) สะสมเงิน ทุกอาทิตย์เจ้าหน้าที่ธนาคารมารับเงินที่โรงเรียนมีกระปุกออมสินใหม่แจก สะสมเหรียญจนเต็มด้วยความภูมิใจ

          ในสมัยที่ตอนนั้นไม่รู้ด้วยซ้ำจะเอาไปทำอะไร แต่ตอนนี้เมื่อเราโตขึ้น เราลืมตัวตนตอนนั้น ลืมว่าเคยเป็นเด็กธรรมดา เรากลายมาเป็นเด็กที่ชื่นชมวัตถุ ใช้จ่ายเงินสุรุ่ยสุร่าย สุข ทุกข์  จากปัจจัยของคนอื่น ๆ คำพูด การกระทำ ของคนอื่นมีผลต่อเรามากกว่าเรามีต่อตนเอง ไม่พอใจในสิ่งที่มี ลืมตัวเองไปชั่วขณะ

          เงิน 8,000 ในสมัยก่อนของเด็ก มันเยอะมาก มันคือเงินทั้งชีวิต ในสมัยนี้มีค่าน้อยนิด ซื้อมือถือดี ๆ ยังไม่ได้ ซื้อเสื้อผ้าเครื่องสำอางยังไม่ได้เท่าไรเลย ตัวเราในตอนนี้ ความสุข สิ่งที่ทำให้เรามีความสุข มันเปลี่ยนไปเป็นสิ่งของ กับการสังสรรกับสังคม  และเราสนใจคนที่รักเรา คนที่รอเราอย่างพ่อกับแม่น้อยลง เราสังสรรค์กับเพื่อนทุกเย็น กินข้าว เดินห้าง ในขณะที่พ่อแม่นอนตอน 2 ทุ่ม เราเลยไม่ค่อยได้โทรหาท่าน ปล่อยให้ท่านเหงา คิดถึงเรา ในขณะที่เราคิดถึงแค่ตนเอง

          แม่พูดกับเราต่อว่า "แม่ก็รู้สึกแปลก กะว่าจะบอกว่าอย่าปิดบัญชีเลย แต่แม่ก็คิดในทางดีว่า ก็ดีเหมือนกัน แม่ก็ไม่ต้องถือบัญชีไว้อีก ดีไม่ดีเดี๋ยวปลวกกิน ปิดแล้วก็ปิดเถอะลูก.... อย่าร้องเลย ดีนะที่แม่มาด้วย ไม่งั้นคงนั่งร้องอยู่คนเดียว .....ถ้าไม่ปิดบัญชี ลูกก็คงไม่เห็นลายมือ (ตอนเปิดบัญชี) อันนั้น" ....และอาจคิดไม่ได้แบบในวันนี้ (อันนี้เราคิดเอง)

          แม่พูดยิ้ม ๆ ในใจเราแสนเศร้า คิดถึงพ่อแม่สุดหัวใจ คิดถึงสิ่งที่พ่อแม่พร่ำทำให้ เก็บเงินที่เหลือจากเงินเดือนครูอันน้อยนิด ฝากเงินให้เรา แต่เราคิดแต่จะถอนเอาเงินไปใช้ ตอนเปิดบัญชี แม่หอบหิ้วลูกน้อย ด้วยความหวังว่าจะให้ลูกออมเงิน รู้ค่าของเงิน ขณะปิดบัญชีก็แม่พามา เวลาห่างกันยี่สิบกว่าปี เรามาไกลแค่ไหนแล้วนะ มาไกลจนลืมตนเองไปมากที่เดียว เราเงินเดือนพอสมควร มากกว่าที่แม่หรือพ่อหามาได้จากการทำงานใน 1 เดือน แต่เราก็ลืม กี่ครั้งที่สปอยล์ตนเอง กินของแพง เลี้ยงเพื่อนแบบไม่คำนึง บัตรเครดิต 4-5 ใบ ใช้เยอะมาก ใช้เดือนชนเดือน สิ้นเดือนแทบขาดใจ หันมาดูพ่อแม่ใช้ชีวิตสมถะ ทำไร่ข้างบ้านปลูกผัก เพื่อลดค่าครองชีพ อยู่แบบง่าย มีกินตามที่พึงจะมี

          เราไม่โทษสังคม เพื่อน เวลา หรืออะไรก็แล้วแต่ที่หล่อหลอมให้เราเป็น ที่เราอารมณ์ร้อน ที่เราเห็นค่าของวัตถุมากเกินไป ที่เราสนใจคนที่เป็นห่วงเราอย่างแท้จริงน้อยเกินไป เราโทษตนเองที่ลืมตน ขาดสติ ตั้งแต่วันนั้นผ่านมาช่วงนึงแล้ว ภาพเงินจำนวนนึง แม่ พ่อ บัญชีธนาคารออมสิน ลายมือเราตอนเด็ก ยังย้ำเตือนเราให้ยังเป็นคนเดิม คนเดิมของพ่อแม่ ที่รู้จักค่าของเงิน รู้จักใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็น มีสติ ให้มากขึ้น เราเอาเงินจำนวนนี้ บวกเพิ่มอีกนิดหน่อยไปซื้อ LTF ค่ะ เพิ่อเอาไปลดหย่อนภาษีในปีต่อไป

ป.ล. ทุกอย่างที่เราโพสต์ เป็นความคิด ความรู้สึก จากตัวเราเองและอาจไม่สอดคล้องกับคนอื่นนะคะ ขอแท็กเครื่องแป้งเพราะเกี่ยวกับการใช้เงิน ชานเรือนเพราะเรื่องครอบครัวและห้องสยามสแควร์

ป.ล. 2 เราเชื่อว่าหลายคนเคยเปิดบัญชีกับธนาคารออมสิน  และอาจจะมีโมเม้นท์นี้คล้าย ๆ กันกับเรา ลองแชร์กันนะคะ"

ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล


เรื่องที่คุณอาจสนใจ
บ่อน้ำตาแตกเมื่อปิดบัญชี บทเรียนชีวิตที่ธนาคารออมสิน อัปเดตล่าสุด 30 มีนาคม 2558 เวลา 09:41:47 133,481 อ่าน
TOP