แบงก์ชาติ ไม่ห่วง หนี้บัตรเครดิต-สินเชื่อพุ่งเร็ว ชี้กระทบไม่มาก

เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล

         แบงก์ชาติ ไม่ห่วง เอ็นพีแอล หนี้บัตรเครดิต-สินเชื่อพุ่งเร็ว บอกไม่ส่งผลกระทบมาก เนื่องจากมีสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมน้อย

         วันนี้ (1 ธันวาคม 2557) ผู้สื่อข่าวระบุว่า ขณะนี้มีการเพิ่มขึ้นของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ (เอ็นพีแอล) ของสถาบันการเงินในไตรมาสที่ 3 ปี 2557  โดยเฉพาะในส่วนของสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ซึ่งเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากนั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า เอ็นพีแอลในภาพรวมไม่น่าเป็นห่วงนัก เพราะมีสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมค่อนข้างน้อย และสินเชื่อประเภทนี้ตามธรรมชาติ หากมีการค้างชำระเกิน 6 เดือน ทางธนาคารพาณิชย์จะหักเป็นหนี้สูญในทันที ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะสะท้อนออกมาให้เห็นทางบัญชีในทันที หรืออีกนัยหนึ่งคือเขาตั้งวงเงินชดเชยได้เลย

        นายประสาร กล่าวต่อว่า หนี้สินที่แสดงคุณภาพแท้จริงออกมาได้เร็วน่าเป็นห่วงน้อยกว่าหนี้ที่ยังซ่อนอยู่หรือมองไม่เห็น และที่ผ่านมาธนาคารแห่งประเทศก็ได้พูดเสมอว่า หนี้ทั้งสองส่วนนี้ (สินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล) ค่อนข้างเล็ก ไม่ทำให้ธนาคารพาณิชย์ถึงกับล้มลง เพราะหนี้ที่สะท้อนคุณภาพออกมาเร็ว ธนาคารพาณิชย์ก็สามารถปรับตัวได้เร็ว ทั้งในเชิงบริหารและการจัดการด้านการเงิน แต่หากจะกระทบก็คงจะกระทบในเชิงเศรษฐกิจมหาภาคมากกว่า  ที่อาจทำให้กำลังซื้อผู้บริโภคมีน้อยลง เพราะจากการศึกษาเชิงลึกเห็นว่าที่ผ่านมาเวลาประเทศพ้นจากปัญหา ภาคการบริโภคจะเป็นตัวที่ฟื้นได้เร็วสุด แต่ในครั้งนี้จะเห็นได้ว่าการฟื้นตัวไม่เหมือนทุกครั้ง ตนจึงห่วงว่าหนี้เหล่านี้จะทำให้การอุปโภค บริโภค ไม่เข้มแข็งเหมือนในอดีต

         ส่วนข้อมูลของ ธปท. พบว่า เอ็นพีแอลของสินเชื่อบัตรเครดิตในไตรมาส 3 ปี 2557 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3.7% จากไตรมาสก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ประมาณ 3.3% ขณะที่สินเชื่อซึ่งต้องจับตาดูเป็นพิเศษ (เอสเอ็ม) ในส่วนของสินเชื่อบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.4% เทียบกับไตรมาสก่อนซึ่งอยู่ที่ 2.2% สำหรับเอ็นพีแอลในส่วนของสินเชื่อส่วนบุคคล ในไตรมาส 3 ปี 2557 ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 3% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าซึ่งอยู่ที่ประมาณ 2.6% ขณะที่เอสเอ็มของสินเชื่อส่วนบุคคลในไตรมาส 3 ปรับขึ้นมาอยู่ที่ 2.6% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้านี้ซึ่งอยู่ที่ 2.4%

          นอกจากนี้ นายประสาร ยังกล่าวถึงนโยบายของรัฐบาลที่มีแนวคิดในการแจกจ่ายคูปองให้กับผู้ที่มีรายได้น้อย เพื่อไปใช้ลดราคาในการซื้อสินค้าด้วยว่า นโยบายลักษณะนี้โดยส่วนตัวตนไม่เห็นด้วยเท่าไร เพราะเป็นการสร้างพฤติกรรมให้คนมุ่งหวังจะรอแต่ของฟรี อีกทั้งผลที่เกิดขึ้นไม่ยั่งยืนด้วย หากจะทำก็ควรทำเฉพาะในกรณีที่มีความจำเป็นจริง ๆ เท่านั้น



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก