หอการค้าโพล เผยแรงงานไทยมีหนี้ต่อครัวเรือนเฉลี่ยที่ 106,216 บาท พุ่งสูงสุดในรอบ 6 ปี ปัจจัยก่อหนี้จากการกู้ใช้จ่าย-ซื้อบ้าน-ซื้อรถ โอดสินค้าแพง วอนเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 388.25 บาทต่อวัน
วันที่ 25 เมษายน 2557 นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงผลจากการสำรวจกลุ่มแรงงานทั่วประเทศ ที่มีรายได้ต่ำกว่า 15,000 บาท จำนวน 1,200 ราย ในเรื่องสถานการณ์แรงงานไทย พบว่า แรงงานไทยในปัจจุบันไม่มีเงินออมถึง 76.1% และยังมีภาระหนี้สินที่ถือได้ว่าขึ้นสูงที่สุดในรอบ 6 ปี อยู่ที่ 93.7% โดยแบ่งเป็น 3 ประเภท ได้แก่
1. ภาระหนี้ต่อครัวเรือนเฉลี่ยที่ 106,216 บาท ซึ่งเกิดจากปัญหารายได้ไม่พอกับรายจ่าย
2. เป็นหนี้นอกระบบถึง 56.1%
3. เป็นหนี้ในระบบถึง 43.9% ซึ่งมีอัตราการผ่อนชำระต่อเดือนอยู่ที่ 6,639 บาทต่อครัวเรือน
ขณะที่ ปัจจัยที่เป็นสาเหตุให้เกิดการก่อหนี้ มีดังนี้
46.6% มาจากการนำมาใช้จ่ายในประจำวัน 20.9% ค่าที่อยู่อาศัย ซื้อบ้าน 13.2% ค่ายานพาหนะ ซื้อทรัพย์ 5.6% เป็นการลงทุนต่าง ๆสะท้อนให้เห็นถึงสถานภาพทางการเงินของแรงงาน ที่ประสบภาวะรายได้ไม่พอใช้จ่ายถึง 74.3% โดยผลกระทบทางด้านราคาสินค้าที่แพงขึ้น 61.1% รายได้ลดลง 23.9% อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น 13.3 และราคาน้ำมันแพง 1.8%
นายธนวรรธน์ กล่าวต่อว่า แม้ว่าแรงงานไทยกว่า 80.1% มีปัญหาในการชำระหนี้ เชื่อว่าไม่น่าจะส่งผลให้ภาวะหนี้ขยายตัวเป็นภาวะหนี้เสีย (NPL) เนื่องจากสถาบันการเงิน และธนาคารที่ปล่อยกู้ เตรียมวิธีการเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ในการรับมือ ทั้งนี้ หากภาวะเศรษฐกิจไทยติดลบไม่มากหนี้เสียอาจขยายตัวแค่ 3-5% แต่ถ้าทั้งปีเศรษฐกิจไทยติดลบมากกว่า 2% อาจส่งผลให้เกิดการขยายตัวหนี้เสียมากเกินกว่า 5% อยู่มาก ส่วนปัญหาหนี้เสียนอกระบบอาจเกิดขึ้นเยอะ
จากการผลสำรวจยังพบว่า แรงงานไทย 52.6% มองถึงสถานการณ์ของเศรษฐกิจไทยค่อนข้างแย่ และเกิดความเสี่ยงที่จะตกงานมากขึ้น ซึ่งทำให้แรงงานไทย 55.7% ยังไม่คิดที่จะเปลี่ยนงานใหม่ในขณะนี้ และอีก 58.5% มองถึงอัตราค่าจ้างคุ้มค่ากับประสิทธิภาพงานของตน รวมถึงอีก 65.4% ยังมองถึงการปรับค่าจ้างขั้นต่ำตามภาวะค่าครองชีพ ว่าควรมีการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำจากเดิม 300 บาท เป็น 388.25 บาทต่อวัน เนื่องจากสินค้ามีราคาแพงขึ้น
ทั้งนี้ หากสถานการณ์เศรษฐกิจยังชะลอตัวและยังไม่มีรัฐบาลเข้ามาบริหาร บนพื้นฐานที่เศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโต 0-2% อาจส่งผลให้เกิดอัตราการว่างงานเพิ่มเป็น 1.5-1.7% ของแรงงานทั้งหมด ซึ่งในปัจจุบันไทยมีแรงงานที่เข้าสู่ระบบกว่า 500,000-700,000 คน และอาจกระทบกลุ่มแรงงานใหม่ที่หางานไม่ได้ และแรงงานเก่าอาจเสี่ยงต้องถูกปลด ซึ่งอาจตกงานเป็นอัตราที่มากขึ้นในรอบ 10 ปี ถึง 600,000 คน มากกว่าปีก่อนที่มีคนตกงาน 400,000 คน
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
