เปิดรายละเอียด - เงื่อนไข การเพิ่มเงินบัตรคนจนชั่วคราว ได้เพิ่มกี่บาท ได้จนถึงเมื่อไร ต้องใช้กับอะไร มาดูกัน หลังที่ประชุม ศบค. ไฟเขียว
จากกรณีที่ประชุมศูนย์บริหารสถานการณ์เศรษฐกิจจากผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิด 19 (ศบศ.) ได้เห็นชอบมาตรการของกระทรวงการคลัง ในการช่วยเหลือประชาชนด้านเศรษฐกิจ มี 2 โครงการคือ
- โครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
- โครงการคนละครึ่ง
อ่านข่าว : เตรียมเฮ ! ชงเพิ่มวงเงิน บัตรคนจน อีกเดือนละ 500 ยาว 3 เดือน เริ่ม ต.ค. นี้
- โครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ
- โครงการคนละครึ่ง
อ่านข่าว : เตรียมเฮ ! ชงเพิ่มวงเงิน บัตรคนจน อีกเดือนละ 500 ยาว 3 เดือน เริ่ม ต.ค. นี้
ล่าสุด วันที่ 17 กันยายน 2563 ฐานเศรษฐกิจ ได้อธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับโครงการเพิ่มกําลังซื้อให้แก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ว่ามีรายละเอียดและเงื่อนไขเป็นอย่างไร ดังนี้
- จะได้รับเงินเพิ่มจำนวน 500 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม - ธันวาคม 2563
- ไม่มีการสมทบเงินในเดือนถัดไป หากใช้เงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไม่หมด
- ไม่สามารถกดเงินสดออกมาได้
- ไม่สามารถใช้ร่วมกับโครงการ www.คนละครึ่ง.com
- สามารถใช้ได้แค่ร้านธงฟ้าประชารัฐ หรือร้านค้าที่ร่วมรายการเท่านั้น
- จะได้รับเงินเพิ่มจำนวน 500 บาท เป็นเวลา 3 เดือน ตั้งแต่เดือนตุลาคม - ธันวาคม 2563
- ไม่มีการสมทบเงินในเดือนถัดไป หากใช้เงินในบัตรสวัสดิการแห่งรัฐไม่หมด
- ไม่สามารถกดเงินสดออกมาได้
- ไม่สามารถใช้ร่วมกับโครงการ www.คนละครึ่ง.com
- สามารถใช้ได้แค่ร้านธงฟ้าประชารัฐ หรือร้านค้าที่ร่วมรายการเท่านั้น
จำแนกผู้ใช้บัตรคนจน มี 2 ประเภท
1. กลุ่มที่มีรายได้ไม่เกิน 3 หมื่น
- ปกติได้รับ 300 บาทต่อเดือน เพิ่มมาเป็น 800 บาทต่อเดือน จนถึงเดือนธันวาคม 2563
- จำนวนผู้ถือบัตรทั้งสิ้น 3.6 ล้านราย
2. กลุ่มที่มีรายได้เกิน 3 หมื่น
- ปกติได้รับ 200 บาทต่อเดือน เพิ่มมาเป็น 700 บาทต่อเดือน จนถึงเดือนธันวาคม 2563
- จำนวนผู้ถือบัตรทั้งสิ้น 10.3 ล้านราย
ขอบคุณข้อมูลจาก ฐานเศรษฐกิจ
1. กลุ่มที่มีรายได้ไม่เกิน 3 หมื่น
- ปกติได้รับ 300 บาทต่อเดือน เพิ่มมาเป็น 800 บาทต่อเดือน จนถึงเดือนธันวาคม 2563
- จำนวนผู้ถือบัตรทั้งสิ้น 3.6 ล้านราย
2. กลุ่มที่มีรายได้เกิน 3 หมื่น
- ปกติได้รับ 200 บาทต่อเดือน เพิ่มมาเป็น 700 บาทต่อเดือน จนถึงเดือนธันวาคม 2563
- จำนวนผู้ถือบัตรทั้งสิ้น 10.3 ล้านราย
ขอบคุณข้อมูลจาก ฐานเศรษฐกิจ