กระทรวงการคลัง แจงแล้ว กู้เงิน 20,000 ล้านบาท ชดเชยการขาดดุลงบประมาณ เป็นแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2563 ชี้เป็นเรื่องปกติ ยันฐานะการคลังไม่ได้ย่ำแย่ เผยเงินคงคลังล่าสุดกว่า 300,000 ล้านบาท
จากกรณี ราชกิจจานุเบกษา ประกาศเรื่องกระทรวงการคลัง กู้เงินจากธนาคารออมสิน และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ 2562 จำนวน 20,000 ล้านบาทนั้น
อ่านข่าว : ราชกิจจาฯ ประกาศ กระทรวงการคลัง กู้เงิน 20,000 ล้าน ชดเชยขาดดุลงบประมาณ
เกี่ยวกับเรื่องนี้ วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2563 สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง : Fiscal Policy Office รายงานว่า นายลวรณ แสงสนิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง
ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง ชี้แจงว่า
เป็นการดำเนินการของกระทรวงการคลังตามปกติทั่วไป
เพื่อให้สอดคล้องกับกระแสรายได้และกระแสรายจ่ายในช่วงระยะเวลาต่าง ๆ
ภายใต้ต้นทุนและความเสี่ยงที่เหมาะสม
ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังมีการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณในรูปแบบต่าง ๆ เช่น พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรออมทรัพย์ สัญญากู้ยืมเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตั๋วเงินคลัง เป็นต้น โดยมีการวางแผนการกู้เงินและบริหารเงินคงคลังร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพและรอบคอบรัดกุม
สำหรับการกู้เงินผ่านการทำสัญญากู้ยืมเงินในครั้งนี้ จำนวน 20,000 ล้านบาท เป็นส่วนหนึ่งของการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณที่เหลื่อมปีมาของปีงบประมาณ 2562 จำนวน 101,022 ล้านบาท จากกรอบการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณของปีงบประมาณ 2562 รวม 450,000 ล้านบาท
โดย ณ สิ้นเดือนมกราคม 2563 กระทรวงการคลังได้มีการกู้เงินเหลื่อมปีไปแล้วทั้งสิ้น 56,202 ล้านบาท แบ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาล จำนวน 18,600 ล้านบาท พันธบัตรออมทรัพย์ จำนวน 17,602 ล้านบาท และสัญญากู้ยืมเงินที่กล่าวข้างต้น จำนวน 20,000 ล้านบาท
การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2563 โดยกรอบการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณที่ได้บรรจุไว้ เป็นวงเงินกู้ที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ดังนั้น การกู้เงินในรูปแบบต่าง ๆ ของกระทรวงการคลัง ถือเป็นการดำเนินการปกติทั่วไป ไม่ได้แสดงถึงฐานะการคลังที่ย่ำแย่แต่อย่างใด
ฐานะการคลังของรัฐบาลยังอยู่ในระดับที่เข้มแข็งเพียงพอต่อการรองรับมาตรการการคลัง เพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะต่อไป สะท้อนได้จากเงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนมกราคม 2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 316,370 ล้านบาท โดยที่ระดับเงินคงคลังในปัจจุบัน เป็นระดับที่ได้มีการบริหารจัดการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และได้คำนึงถึงกระแสรายรับ กระแสรายจ่ายของรัฐบาล และต้นทุนการบริหารเงินแล้ว ซึ่งเป็นระดับที่เพียงพอในการดำเนินนโยบายของภาครัฐต่อไป และเป็นการดำเนินการภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังตามกฎหมายทุกประการ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก เฟซบุ๊ก สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง : Fiscal Policy Office
อ่านข่าว : ราชกิจจาฯ ประกาศ กระทรวงการคลัง กู้เงิน 20,000 ล้าน ชดเชยขาดดุลงบประมาณ
ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังมีการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณในรูปแบบต่าง ๆ เช่น พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรออมทรัพย์ สัญญากู้ยืมเงิน ตั๋วสัญญาใช้เงิน ตั๋วเงินคลัง เป็นต้น โดยมีการวางแผนการกู้เงินและบริหารเงินคงคลังร่วมกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้การดำเนินงานมีประสิทธิภาพและรอบคอบรัดกุม
สำหรับการกู้เงินผ่านการทำสัญญากู้ยืมเงินในครั้งนี้ จำนวน 20,000 ล้านบาท เป็นส่วนหนึ่งของการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณที่เหลื่อมปีมาของปีงบประมาณ 2562 จำนวน 101,022 ล้านบาท จากกรอบการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณของปีงบประมาณ 2562 รวม 450,000 ล้านบาท
โดย ณ สิ้นเดือนมกราคม 2563 กระทรวงการคลังได้มีการกู้เงินเหลื่อมปีไปแล้วทั้งสิ้น 56,202 ล้านบาท แบ่งเป็นพันธบัตรรัฐบาล จำนวน 18,600 ล้านบาท พันธบัตรออมทรัพย์ จำนวน 17,602 ล้านบาท และสัญญากู้ยืมเงินที่กล่าวข้างต้น จำนวน 20,000 ล้านบาท
การกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของแผนการบริหารหนี้สาธารณะประจำปีงบประมาณ 2563 โดยกรอบการกู้เงินเพื่อชดเชยการขาดดุลงบประมาณที่ได้บรรจุไว้ เป็นวงเงินกู้ที่คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบแล้ว ดังนั้น การกู้เงินในรูปแบบต่าง ๆ ของกระทรวงการคลัง ถือเป็นการดำเนินการปกติทั่วไป ไม่ได้แสดงถึงฐานะการคลังที่ย่ำแย่แต่อย่างใด
ฐานะการคลังของรัฐบาลยังอยู่ในระดับที่เข้มแข็งเพียงพอต่อการรองรับมาตรการการคลัง เพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะต่อไป สะท้อนได้จากเงินคงคลัง ณ สิ้นเดือนมกราคม 2563 มีจำนวนทั้งสิ้น 316,370 ล้านบาท โดยที่ระดับเงินคงคลังในปัจจุบัน เป็นระดับที่ได้มีการบริหารจัดการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และได้คำนึงถึงกระแสรายรับ กระแสรายจ่ายของรัฐบาล และต้นทุนการบริหารเงินแล้ว ซึ่งเป็นระดับที่เพียงพอในการดำเนินนโยบายของภาครัฐต่อไป และเป็นการดำเนินการภายใต้กรอบวินัยการเงินการคลังตามกฎหมายทุกประการ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก เฟซบุ๊ก สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง : Fiscal Policy Office