ตามกระแสข่าวที่กลุ่มแรงงานเตรียมฟ้องศาลปกครอง เรื่องการให้ความคุ้มครองประกันสังคมกรณีชราภาพ ไม่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย เนื่องจากไม่สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจและค่าครองชีพที่สูงขึ้น ทำให้เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 1560 นายสุรเดช วลีอิทธิกุล เลขาธิการสำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ออกมาชี้แจงว่า สำนักงานประกันสังคมได้ศึกษาแนวทางการปฏิรูปบำนาญชราภาพ เพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องฐานและเพดานค่าจ้างแล้ว ซึ่งก็ได้รับความเห็นชอบผ่านประชาพิจารณ์จากผู้ประกันตนและนายจ้าง ให้ขยายฐานค่าจ้างจาก 1,650 บาทเป็น 3,600 บาท และเพดานค่าจ้างจาก 15,000 บาท เป็น 20,000 บาท เนื่องจากที่ผ่านมา การส่งเงินสมทบไม่เคยมีการปรับเพิ่ม จึงไม่สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบัน
อย่างไรก็ตาม พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ประกันสังคม พ.ศ. 2533 กำหนดให้รัฐบาลจ่ายเงินสมทบเข้ากองทุนประกันสังคม ซึ่งปัจจุบันรัฐบาลได้จ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคมมากกว่าทุกชุดที่ผ่านมา อีกทั้งได้กำหนดให้นายจ้าง ผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ร่วมออกเงินสมทบเข้ากองทุน เพื่อการจ่ายประโยชน์ทดแทนในกรณีสงเคราะห์บุตรและกรณีชราภาพ ตามอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวง ที่ให้รัฐบาลสมทบ 1% ส่วนนายจ้างออกเงินสมทบ 3%
นายสุรเดช กล่าวอีกว่า ตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ประกันสังคม พ.ศ. 2533 มีวัตถุประสงค์ 2 ประการ คือ 1. เพื่อให้ผู้รับบำนาญไม่ตกอยู่ในภาวะยากลำบากในการครองชีพหรือต่ำกว่าระดับความยากจน และ 2. เพื่อให้ผู้รับบำนาญมีการทดแทนรายได้ประจำต่อเนื่อง ในอัตราที่สอดคล้องกับรายได้ก่อนเกษียณ ซึ่งสำนักงานประกันสังคมให้ผู้ที่ส่งเงินสมทบ 30 ปี ได้รับบำนาญ 41.5% ของค่าจ้างก่อนเกษียณ ซึ่งสูงกว่าที่สนธิสัญญาองค์การแรงงานระหว่างประเทศกำหนด ที่ให้ผู้ทำงาน 30 ปี ควรได้รับบำนาญไม่ต่ำกว่า 40% ของค่าจ้างก่อนเกษียณ
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก