ชีวิตที่เป็นหนี้ไม่ได้สุขสบายทั้งกายและใจ ดังนั้นใครที่กำลังคิดอยากจะมีหนี้ หรือสร้างหนี้ใหม่ อยากให้แวะมาอ่านแนวคิดทางการเงินเหล่านี้สักนิด
![ชีวิตที่เป็นหนี้]( "ชีวิตที่เป็นหนี้")
ก่อนจะถึงวันนั้นของชีวิต(วันที่เป็นหนี้)...หยุดคิดเรื่องนี้สักนิดก่อนดีไหม โดยคุณ nuohpuja สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
"คุณรู้ไหมเมื่อก่อนฉันไม่เคยคิดเลยสักนิดว่า ฉันต้องเก็บเงินไปเพื่ออะไร"
"ถ้าเมื่อก่อนมีการสอนความรู้เรื่องการเงิน สอนให้รู้ว่าอัตราดอกเบี้ยมีทั้งด้านบวกและด้านลบเป็นอย่างไร วันนี้ผมคงไม่ต้องมีหนี้เยอะขนาดนี้หรอกครับ"
"ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่ารายจ่ายผมจะเพิ่มมากขึ้นขณะนี้ โดยรายได้ที่ได้รับโตไม่ทันกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น"
"เป็นเพราะผมหลงไปกับวัตถุภายนอกที่แต่ละคนแข่งกันอวดออกมา ทำให้ผมลืมตัว ทำตัวไปแข่งกับเขาด้วย ทำให้เกิดภาระหนี้มากมายจนถึงทุกวันนี้"
"ถ้าวันนั้นผมรู้ว่าชีวิตในวันนี้จะลำบากด้วยหนี้ขนาดนี้ วันนั้นผมจะไม่ยอมเป็นหนี้เป็นอันขาดเลยครับ"
"ตอนนั้นมันมีโครงการเสนอเงินกู้ให้มากมาย ผมสามารถหาเงินกู้ได้ไม่ยาก ใคร ๆ ก็มองว่าเรามีอาชีพที่มีความน่าเชื่อถือ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ง่ายกว่าอาชีพอื่น ๆ โดยลืมนึกคิดไปว่าเงินกู้ที่ได้รับคือการนำเงินในอนาคตมาใช้ บวกด้วยอัตราดอกเบี้ยของเงินกู้ จนวันนี้ผมต้องใช้ชีวิตในปัจจุบันอย่างขัดสนเพื่อชดเชยกับอดีตที่ผมได้ทำพลาดไว้"
![]()
คำบอกเล่าข้างต้น คือหนึ่งในข้อมูลการสนทนาของผู้ที่ประสบปัญหาหนี้ที่เราได้มีโอกาสพบเจอมา ทำให้เราได้ทราบข้อมูลเหล่านี้ เลยนำมาถ่ายทอดเพื่อเป็นวิทยาทานให้กับคนอื่น ๆ จะไม่ได้เป็นปัญหาเหมือนพวกเขาเหล่านี้
เจตนาของการเขียนบทความนี้ไม่ได้ต้องการนำประสบการณ์ด้านลบของคนที่ประสบปัญหามาตีแผ่ หรือประจาน แต่เจตนาต้องการนำความรู้ที่ได้มาถ่ายทอดเพื่อไม่ให้คนที่กำลังตัดสินใจเดินทางผิด หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เรียนรู้และป้องกันปัญหาที่จะเกิดสำหรับตัวเองและครอบครัว
จากคำบอกเล่าข้างต้น พอจะสรุปปัญหาที่ทำให้คนส่วนใหญ่เป็นหนี้ และไม่สามารถหลุดจากกับดักหนี้ได้ ดังนี้
1. ขาดการกำหนดเป้าหมายทางการเงิน หมายถึง ไม่เคยกำหนดตัวเองเลยว่าวันนี้ต้องเก็บเงินไปเพื่ออะไร ทำไมต้องเก็บเงิน ไม่รู้จักการเก็บเงินเพื่อเป้าหมายทางการเงิน
2. ขาดความรู้ด้านการเงิน หมายถึง ไม่มีความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้หลาย ๆ ประเภท ไม่เข้าใจคำว่าอัตราเงินเฟ้อ
3. ไม่มีการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่าย ทำให้ไม่รู้จักตัวเองว่าสถานะการเงินเป็นอย่างไร ไม่รู้เลยว่ารายจ่ายที่ตัวเองได้จ่ายไปในแต่ละเดือน จ่ายไปทางด้านใดบ้าง เหมาะสมหรือไม่อย่างไร
4. ประมาท หรือมั่นใจตัวเองมากเกินไป คิดว่าเหตุการณ์ร้าย ๆ แบบที่เกิดกับคนอื่น ๆ คงไม่เกิดกับตัวเองหรอก ทำให้ไม่มีการเตรียมแผนการสำรองทางด้านการเงินหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ทำให้ต้องไปพึ่งบริการเงินด่วนต่าง ๆ ที่มีมากมายและแลกด้วยอัตราดอกเบี้ยกับค่าธรรมเนียมที่แสนแพง
5. เข้าถึงเแหล่งเงินกู้ง่ายเกินไป เช่น สินเชื่อเงินด่วนประเภทต่าง ๆ เพียงแค่คุณมีบัตรประชาชนใบเดียว กับหนังสือรับรองเงินเดือน ก็สามารถกู้ได้แล้ว โดยลืมนึกค่าธรรมเนียมและอัตราดอกเบี้ยมหาโหด
6. เพราะเปลือกหรือหน้ากากที่สังคมสร้างขึ้นมาเพื่อให้เราเดินตาม เช่น การใช้กระเป๋าแบรนด์เนม การใช้โทรศัพท์แพง ๆ ทำให้เราลืมนึกถึงความเหมาะสมของสิ่งที่จ่ายไปเมื่อแลกมากับวัตถุที่ได้เพียงเพื่อความสุขแค่ชั่วครั้งชั่วคราว
![]()
จากข้อมูลข้างต้นทำให้เรามานั่งคิดว่า เราจะมีวิธีการใด หรือหลักการใด ที่ทำให้เราสามารถตรวจสอบตัวเองก่อนไหมว่า เราสามารถเป็นหนี้ได้ไหม หรือเป็นหนี้ได้เพิ่มอีกไหม จึงเป็นที่มาของคำถามที่อยากให้ทุกท่านได้ถามตัวเองก่อนเริ่มเป็นหนี้ดังนี้
1. หนี้นี้เป็น Want หรือเป็น Need (เป็นความต้องการ หรือเป็นความจำเป็น) คำถามนี้เป็นคำถามเริ่มต้นที่สำคัญ ซึ่ง Want หรือความต้องการนั้นหมายถึง เราอยากได้สิ่งนั้น ๆ ซึ่งอาจไม่จำเป็นก็ได้ หรือเราอาจจะมีแล้ว แต่เราแค่ต้องการมัน
ในขณะที่ Need หรือ ความจำเป็นนั้นหมายถึง ความจำเป็นในการใช้สิ่งของนั้น ๆ ถ้าไม่มีไม่ได้ คุณตัองเป็นคนประเมินด้วยจิตใจของตัวเองว่าสิ่งที่เราต้องการเป็นหนี้นั้น เป็น Want หรือเป็น Need ซึ่งแต่ละคนก็มีระดับการกำหนดว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร ไม่เหมือนกัน
2. หนี้นั้นมียอดผ่อนชำระต่อเดือน เมื่อรวมกับหนี้เก่าทุกอย่างแล้ว เกินกว่า 45% ของรายได้ต่อปีหรือต่อเดือนของเราหรือไม่ ถ้าเกินก็อาจสร้างปัญหาการผ่อนชำระให้เราได้ในอนาคต
3. หนี้นั้นเป็นหนี้ดี หรือหนี้เลว
- หนี้ดี หมายถึง หนี้ที่สร้างโอกาสในการสร้างแหล่งรายได้ใหม่ ๆ เช่น หนี้เพื่อการศึกษา อบรมเพิ่มพูนความรู้ หนี้เพื่อการลงทุน
- หนี้เลว หมายถึง หนี้เพื่อการบริโภค หนี้เพื่อสิ่งของไม่จำเป็นที่มีแต่ด้อยค่าไปเรื่อย ๆ
4. ก่อนที่จะเป็นหนี้ คุณมีเงินสำรองเพียงพอสำหรับรายจ่ายต่อเดือนของคุณ 3-6 เดือนแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่มีเราแนะนำว่าควรเก็บเงินให้ได้ 3-6 เท่าของรายจ่ายต่อเดือนก่อนคิดจะเป็นหนี้ เพราะในวันที่ปัญหาเกิดขึ้นมา ไม่มีใครช่วยคุณได้แน่นอน
5. ก่อนเป็นหนี้ คุณเตรียมเงินเพื่อเป้าหมายทางการเงินของคุณไว้แล้วหรือยัง เช่น เงินเกษียณของตัวคุณเอง เงินสำหรับดาว์นบ้าน เงินทุนการศึกษาของลูกคุณ ถ้ายังไม่มีเราแนะนำว่าคุณควรเตรียมเงินเหล่านี้ไว้ก่อนที่จะเริ่มเป็นหนี้
![]()
จริง ๆ แล้วคำถามทั้งหมดข้างต้นเป็นเพียงแค่คำถามเพื่อทดสอบว่า เรามีสถานะที่พร้อมจะเป็นหนี้ได้ดีเพียงใด อาจมีเหตุปัจจัยที่หลากหลายมากกว่านี้ ถ้าคำตอบทั้งหมดที่คุณตอบด้วยตัวคุณเอง แล้วคุณสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้อย่างไม่มีปัญหา หรือแม้ว่าเมื่อคุณตอบคำถามเหล่านี้แล้ว พบว่ายังเกิดปัญหามากมายจากการเริ่มต้นเป็นหนี้ของคุณ ทั้งหมดนี้ก็แล้วแต่ดุลพินิจของคุณเท่านั้น ตัวเราเองมิได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดเลย คุณต้องยอมรับผลของเหตุที่คุณได้ทำไว้ด้วยตัวคุณเอง
คนอยู่ร่วมกันในสังคมที่หลากหลาย มาจากร้อยพ่อพันแม่ ต่างคนต่างความคิด ไม่มีใครสามารถบงการความคิดของใครได้ แต่เจตนาที่ผมเขียนไว้ เผื่อใครสักคนบังเอิญเปิดเข้ามาอ่านและกำลังคิดจะเริ่มเป็นหนี้ก็อาจได้หลักคิดที่นำไปใช้แล้วไม่ทำให้ครอบครัวมีปัญหา แม้เพียงแค่ 1 คนที่เข้ามาอ่าน จากจำนวนคนเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่น หรือเป็นแสน เราก็ถือว่าแนวคิดนี้ก็ประสบความสำเร็จแล้วครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
คุณ nuohpuja สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
การเป็นหนี้หากจะเปรียบเทียบก็อาจบอกได้ว่า คนในอยากออก (มาก)
คนนอกก็อยากเข้า เพราะการตกอยู่สภาพเป็นหนี้ไม่ว่าจะในหรือนอกระบบ
แม้ช่วงที่ได้เงินมาจะสบาย
แต่ช่วงที่ต้องจ่ายหนี้ก็เต็มไปด้วยความตึงเครียดด้วยกันทั้งนั้น
ซึ่งหากใครกำลังคิดอยากจะสร้างหนี้อยู่
ลองสำรวจสถานะความพร้อมในการเป็นหนี้แล้วคิดให้ดี ๆ
ว่าหนี้ที่เรากำลังจะมีเป็นสิ่งที่สมควรมีแล้วหรือยัง อย่างที่คุณ nuohpuja สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม ได้ฝากข้อคิดและคำถามก่อนคิดจะเป็นหนี้มาให้เราได้ลองถามตัวเองดู
ก่อนจะถึงวันนั้นของชีวิต(วันที่เป็นหนี้)...หยุดคิดเรื่องนี้สักนิดก่อนดีไหม โดยคุณ nuohpuja สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
"คุณรู้ไหมเมื่อก่อนฉันไม่เคยคิดเลยสักนิดว่า ฉันต้องเก็บเงินไปเพื่ออะไร"
"ถ้าเมื่อก่อนมีการสอนความรู้เรื่องการเงิน สอนให้รู้ว่าอัตราดอกเบี้ยมีทั้งด้านบวกและด้านลบเป็นอย่างไร วันนี้ผมคงไม่ต้องมีหนี้เยอะขนาดนี้หรอกครับ"
"ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่ารายจ่ายผมจะเพิ่มมากขึ้นขณะนี้ โดยรายได้ที่ได้รับโตไม่ทันกับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้น"
"เป็นเพราะผมหลงไปกับวัตถุภายนอกที่แต่ละคนแข่งกันอวดออกมา ทำให้ผมลืมตัว ทำตัวไปแข่งกับเขาด้วย ทำให้เกิดภาระหนี้มากมายจนถึงทุกวันนี้"
"ถ้าวันนั้นผมรู้ว่าชีวิตในวันนี้จะลำบากด้วยหนี้ขนาดนี้ วันนั้นผมจะไม่ยอมเป็นหนี้เป็นอันขาดเลยครับ"
"ตอนนั้นมันมีโครงการเสนอเงินกู้ให้มากมาย ผมสามารถหาเงินกู้ได้ไม่ยาก ใคร ๆ ก็มองว่าเรามีอาชีพที่มีความน่าเชื่อถือ สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ได้ง่ายกว่าอาชีพอื่น ๆ โดยลืมนึกคิดไปว่าเงินกู้ที่ได้รับคือการนำเงินในอนาคตมาใช้ บวกด้วยอัตราดอกเบี้ยของเงินกู้ จนวันนี้ผมต้องใช้ชีวิตในปัจจุบันอย่างขัดสนเพื่อชดเชยกับอดีตที่ผมได้ทำพลาดไว้"
เจตนาของการเขียนบทความนี้ไม่ได้ต้องการนำประสบการณ์ด้านลบของคนที่ประสบปัญหามาตีแผ่ หรือประจาน แต่เจตนาต้องการนำความรู้ที่ได้มาถ่ายทอดเพื่อไม่ให้คนที่กำลังตัดสินใจเดินทางผิด หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ เรียนรู้และป้องกันปัญหาที่จะเกิดสำหรับตัวเองและครอบครัว
จากคำบอกเล่าข้างต้น พอจะสรุปปัญหาที่ทำให้คนส่วนใหญ่เป็นหนี้ และไม่สามารถหลุดจากกับดักหนี้ได้ ดังนี้
1. ขาดการกำหนดเป้าหมายทางการเงิน หมายถึง ไม่เคยกำหนดตัวเองเลยว่าวันนี้ต้องเก็บเงินไปเพื่ออะไร ทำไมต้องเก็บเงิน ไม่รู้จักการเก็บเงินเพื่อเป้าหมายทางการเงิน
2. ขาดความรู้ด้านการเงิน หมายถึง ไม่มีความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยเงินกู้หลาย ๆ ประเภท ไม่เข้าใจคำว่าอัตราเงินเฟ้อ
3. ไม่มีการจัดทำบัญชีรายรับรายจ่าย ทำให้ไม่รู้จักตัวเองว่าสถานะการเงินเป็นอย่างไร ไม่รู้เลยว่ารายจ่ายที่ตัวเองได้จ่ายไปในแต่ละเดือน จ่ายไปทางด้านใดบ้าง เหมาะสมหรือไม่อย่างไร
4. ประมาท หรือมั่นใจตัวเองมากเกินไป คิดว่าเหตุการณ์ร้าย ๆ แบบที่เกิดกับคนอื่น ๆ คงไม่เกิดกับตัวเองหรอก ทำให้ไม่มีการเตรียมแผนการสำรองทางด้านการเงินหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น ทำให้ต้องไปพึ่งบริการเงินด่วนต่าง ๆ ที่มีมากมายและแลกด้วยอัตราดอกเบี้ยกับค่าธรรมเนียมที่แสนแพง
5. เข้าถึงเแหล่งเงินกู้ง่ายเกินไป เช่น สินเชื่อเงินด่วนประเภทต่าง ๆ เพียงแค่คุณมีบัตรประชาชนใบเดียว กับหนังสือรับรองเงินเดือน ก็สามารถกู้ได้แล้ว โดยลืมนึกค่าธรรมเนียมและอัตราดอกเบี้ยมหาโหด
6. เพราะเปลือกหรือหน้ากากที่สังคมสร้างขึ้นมาเพื่อให้เราเดินตาม เช่น การใช้กระเป๋าแบรนด์เนม การใช้โทรศัพท์แพง ๆ ทำให้เราลืมนึกถึงความเหมาะสมของสิ่งที่จ่ายไปเมื่อแลกมากับวัตถุที่ได้เพียงเพื่อความสุขแค่ชั่วครั้งชั่วคราว
จากข้อมูลข้างต้นทำให้เรามานั่งคิดว่า เราจะมีวิธีการใด หรือหลักการใด ที่ทำให้เราสามารถตรวจสอบตัวเองก่อนไหมว่า เราสามารถเป็นหนี้ได้ไหม หรือเป็นหนี้ได้เพิ่มอีกไหม จึงเป็นที่มาของคำถามที่อยากให้ทุกท่านได้ถามตัวเองก่อนเริ่มเป็นหนี้ดังนี้
1. หนี้นี้เป็น Want หรือเป็น Need (เป็นความต้องการ หรือเป็นความจำเป็น) คำถามนี้เป็นคำถามเริ่มต้นที่สำคัญ ซึ่ง Want หรือความต้องการนั้นหมายถึง เราอยากได้สิ่งนั้น ๆ ซึ่งอาจไม่จำเป็นก็ได้ หรือเราอาจจะมีแล้ว แต่เราแค่ต้องการมัน
ในขณะที่ Need หรือ ความจำเป็นนั้นหมายถึง ความจำเป็นในการใช้สิ่งของนั้น ๆ ถ้าไม่มีไม่ได้ คุณตัองเป็นคนประเมินด้วยจิตใจของตัวเองว่าสิ่งที่เราต้องการเป็นหนี้นั้น เป็น Want หรือเป็น Need ซึ่งแต่ละคนก็มีระดับการกำหนดว่าสิ่งนั้นเป็นอะไร ไม่เหมือนกัน
2. หนี้นั้นมียอดผ่อนชำระต่อเดือน เมื่อรวมกับหนี้เก่าทุกอย่างแล้ว เกินกว่า 45% ของรายได้ต่อปีหรือต่อเดือนของเราหรือไม่ ถ้าเกินก็อาจสร้างปัญหาการผ่อนชำระให้เราได้ในอนาคต
3. หนี้นั้นเป็นหนี้ดี หรือหนี้เลว
- หนี้ดี หมายถึง หนี้ที่สร้างโอกาสในการสร้างแหล่งรายได้ใหม่ ๆ เช่น หนี้เพื่อการศึกษา อบรมเพิ่มพูนความรู้ หนี้เพื่อการลงทุน
- หนี้เลว หมายถึง หนี้เพื่อการบริโภค หนี้เพื่อสิ่งของไม่จำเป็นที่มีแต่ด้อยค่าไปเรื่อย ๆ
4. ก่อนที่จะเป็นหนี้ คุณมีเงินสำรองเพียงพอสำหรับรายจ่ายต่อเดือนของคุณ 3-6 เดือนแล้วหรือยัง ถ้ายังไม่มีเราแนะนำว่าควรเก็บเงินให้ได้ 3-6 เท่าของรายจ่ายต่อเดือนก่อนคิดจะเป็นหนี้ เพราะในวันที่ปัญหาเกิดขึ้นมา ไม่มีใครช่วยคุณได้แน่นอน
5. ก่อนเป็นหนี้ คุณเตรียมเงินเพื่อเป้าหมายทางการเงินของคุณไว้แล้วหรือยัง เช่น เงินเกษียณของตัวคุณเอง เงินสำหรับดาว์นบ้าน เงินทุนการศึกษาของลูกคุณ ถ้ายังไม่มีเราแนะนำว่าคุณควรเตรียมเงินเหล่านี้ไว้ก่อนที่จะเริ่มเป็นหนี้
จริง ๆ แล้วคำถามทั้งหมดข้างต้นเป็นเพียงแค่คำถามเพื่อทดสอบว่า เรามีสถานะที่พร้อมจะเป็นหนี้ได้ดีเพียงใด อาจมีเหตุปัจจัยที่หลากหลายมากกว่านี้ ถ้าคำตอบทั้งหมดที่คุณตอบด้วยตัวคุณเอง แล้วคุณสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้อย่างไม่มีปัญหา หรือแม้ว่าเมื่อคุณตอบคำถามเหล่านี้แล้ว พบว่ายังเกิดปัญหามากมายจากการเริ่มต้นเป็นหนี้ของคุณ ทั้งหมดนี้ก็แล้วแต่ดุลพินิจของคุณเท่านั้น ตัวเราเองมิได้มีส่วนได้ส่วนเสียใดเลย คุณต้องยอมรับผลของเหตุที่คุณได้ทำไว้ด้วยตัวคุณเอง
คนอยู่ร่วมกันในสังคมที่หลากหลาย มาจากร้อยพ่อพันแม่ ต่างคนต่างความคิด ไม่มีใครสามารถบงการความคิดของใครได้ แต่เจตนาที่ผมเขียนไว้ เผื่อใครสักคนบังเอิญเปิดเข้ามาอ่านและกำลังคิดจะเริ่มเป็นหนี้ก็อาจได้หลักคิดที่นำไปใช้แล้วไม่ทำให้ครอบครัวมีปัญหา แม้เพียงแค่ 1 คนที่เข้ามาอ่าน จากจำนวนคนเป็นร้อยเป็นพันเป็นหมื่น หรือเป็นแสน เราก็ถือว่าแนวคิดนี้ก็ประสบความสำเร็จแล้วครับ
ขอขอบคุณข้อมูลจาก
คุณ nuohpuja สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม
