x close

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ เมื่อเขาปิดบริษัทที่ทำรายได้ปีละ 20 ล้าน มาเป็นเกษตรกร !?

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

          แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ เหตุใดเขาถึงตัดสินใจปิดบริษัทที่ทำเงินปีละ 20 ล้าน มาใช้ชีวิตพอเพียงในวิถีเกษตรกร แถมยังเปิดโรงเรียนให้ลูกตัวเองอีกต่างหาก
   
          ชีวิตนักธุรกิจกับบริษัทที่ทำกำไรให้ปีละเป็นสิบ ๆ ล้าน ใครมีชีวิตแบบนี้ก็คงสบาย ไม่ต้องดิ้นรนมากเท่าไรแล้ว ทว่าไม่ใช่กับคุณ moobie สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม คนนี้แน่ ๆ เพราะเขาตัดสินใจพลิกชีวิตหรูหราในเมืองมาเป็นเกษตรกรตามวิถีพอเพียงในต่างจังหวัด โดยที่เขาบอกว่านี่แหละคือความมั่นคงในชีวิตอย่างแท้จริง
   
          จากที่เคยเป็นเจ้าของบริษัท มีรายได้ปีละ 20 ล้าน ใช้ชีวิตอย่างมีอันจะกิน อยากได้อะไรก็ได้ อยากซื้ออะไรก็ซื้อได้เดี๋ยวนั้น ไม่ต้องรอเก็บเงิน แต่ถึงกระนั้นเขาก็ค้นพบว่านี่ไม่ใช่ความมั่นคงในชีวิตอย่างที่เคยเข้าใจมาตลอด ประจวบกับการมีลูกชาย ซึ่งจะบอกว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงของผู้ชายคนนี้ก็ได้ ทำให้เขามีประสบการณ์ชีวิตที่น่าสนใจมาแชร์ไว้เป็นบทเรียนใหม่ ๆ กับทุกคน
 
แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ
 
          เมื่อชีวิตคือการพัฒนา ผมจึงปิดบริษัทที่ทำรายได้ปีละ 20 ล้าน มาเป็นเกษตรกร และเปิดโรงเรียนให้กับลูกชาย โดยคุณ moobie สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม

          ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวสั้น ๆ ว่าผมเองเปิดบริษัททำงานด้าน IT เป็นงานให้บริการเป็นหลักนะครับ ผมทำมาตอนนี้ปีที่ 8 รวมกับทำงานบริษัทมาก่อน 3 ปี รวมประสบการณ์ทำงานทั้งหมดคือ 11 ปี
   
          ชีวิตผมก็เป็นโคตรคนเมืองคนหนึ่ง คือได้ทุกอย่างที่อยากได้ มีรถหรู ๆ บ้านหรู ๆ คอนโดหรู ๆ ของทุกอย่างที่อยากได้ผมได้หมด เวลาแฟนถามว่าวันเกิดอยากได้อะไรบอกได้เลยคิดไม่ออก เพราะทุกสิ่งที่อยากได้ผมได้มันเดี๋ยวนั้นมาตลอด

          ชีวิตผมเริ่มเปลี่ยนแปลงตอนที่ผมเริ่มมีลูกคนแรก ป้จจุบันอายุ 3 ปี 4 เดือน 

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

          ก่อนอื่นขอย้อนกลับไปอีก 8 ปีที่แล้วตอนช่วงที่ผมเริ่มเปิดบริษัทใหม่ ๆ ผมเองนั้นอยากมีครอบครัวและก็อยากมีความรู้ที่จะสร้างครอบครัวที่สมบูรณ์ด้วย ตัวเองจึงไปลงเรียน ป.โท คณะจิตวิทยา สาขาพัฒนาการ ที่มหาลัยใจกลางกรุงแห่งหนึ่ง ซึ่งผมเองก็ได้ทั้งความรู้และแม่ของลูกมาด้วย
   
          ด้วยความรู้ที่ได้มาจากตอนไปเรียน รวมกับความรู้จากการฟังธรรมจากท่านพระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตฺโต) ทำให้ผมเรียนรู้ว่าการทำงานและการใช้ชีวิตนั้น มันควรจะอยู่ในหลักสิกขา คือการเรียนรู้และพัฒนาชีวิต
   
          ถามว่าแล้วการเรียนรู้กับการพัฒนาชีวิตคืออะไร ? คำตอบสั้น ๆ พอจะตอบได้ดังนี้คือ การทำให้ชีวิตมีความสุขง่ายขึ้น และทุกข์ยากขึ้น สุขที่ง่ายขึ้นนั้นต้องพัฒนามาจากการที่มีความสุขจากการให้ ไม่ได้มีความสุขจากการเสพวัตถุ พอเข้าใจหลักการดังนี้ผมจึงเริ่มมองหาและเริ่มตั้งเป้าหมายใหม่ว่า เงินไม่ใช่จุดหมาย แต่เงินคือปัจจัยในการใช้ชีวิต พอผมมองว่าเงินคือปัจจัยในการใช้ชีวิต ผมจึงเริ่มรู้ว่าเงินน่ะพอแล้ว เริ่มเข้าสู่จุดหมายได้เลย

          จุดหมายแรกมันก็มาจากการย่อยข้อมูลที่มีอยู่ในสังคมที่ผมได้มีโอกาสรับรู้จากสื่อต่าง ๆ ทำให้ผมตั้งเป้าว่าผมจะสร้างสิ่งแวดล้อมที่เป็น Self Sufficient Environment คือผมต้องอยู่ได้โดยใช้เงินน้อยที่สุดในเรื่องอาหาร ดังนั้นผมจึงต้องสร้างอาหาร ซึ่งเบื้องต้นก็คือการปลูกผักและเลี้ยงสัตว์เพื่อให้ได้เนื้อ นม ไข่กิน

          ผมเริ่มซ้อมปลูกข้าวที่บ้าน กทม. ในหมู่บ้านเลย (เพื่อนบ้านตอนแรกงงว่าผมทำอะไร ผ่านไป 90 วันถึงรู้กัน )

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

          ปลูกผักที่ไร่

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

          เลี้ยงไก่ เลี้ยงแพะนม

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

          ตรงนี้เองผมมองว่าถ้าผมทำแบบนี้ได้แล้ว ผมจะฝึกให้ลูกผมสามารถใช้ชีวิตอยู่รอดในธรรมชาติได้ โดยการอาศัย ดิน น้ำ ลม ไฟ ในการเปลี่ยนมาเป็นอาหาร โดยเรามีหน้าที่จัดสรรปัจจัยให้พร้อม และถ้ามันไม่พร้อม เราก็พร้อมที่จะศึกษาว่าที่ไม่พร้อมนั้นเราขาดปัจจัยอันใด 
   
          ผมอยากจะเน้นตรงนี้มากเพราะผมมองเรื่องนี้เป็นความมั่นคงในชีวิตเลยทีเดียว เพื่อน ๆ ผมที่ กทม. มองว่าความมั่นคงคือการซื้อประกันให้ลูก ผมบอกได้เลยว่าถ้าอีก 3 ปีข้างหน้าลูกผมอายุ 6 ปี ถ้ายังอยู่ กทม. เขาจะอยู่อนุบาล 3 และถ้าผมตายวันนั้นเงินทองที่มีให้ ประกันที่มีให้ เขาก็คงใช้ได้อีกไม่กี่ปีก็หมด
   
          ถ้าอยู่ในโรงเรียนแพง ๆ ก็คงต้องลาออกมาเปลี่ยนโรงเรียน และก็ไม่รู้ว่าจะใช้เงินที่มีได้อีกนานแค่ไหน แต่ผมคิดว่าไม่เกิน 10 ปี เงินที่สะสมมาไม่ว่ามากขนาดไหนก็หมด ถ้าเขายังจะเสพวัตถุเพื่อความสุขอยู่  
   
          ที่ผมมองต่างคือถ้าลูกผมอายุ 6 ขวบโดยอยู่ที่ไร่กับผมนั้น ถ้าผมตายไป ลูกผมจะสามารถไปปลูกผักกินต่อได้ เก็บไข่กิน ตกปลามากิน รีดนมแพะมากิน จะเห็นว่านี่แหละคือความมั่นคงในชีวิตในมุมมองผม เขาสามารถใช้ชีวิตต่อไปได้โดยเริ่มไม่ต้องพึ่งผมแล้ว คือผมใช้เวลาไม่มากฝึกลูกผมให้เขามีความสามารถในการพึ่งพาตัวเองได้

          ขั้นที่สองที่ผมจะสอนลูกคือ ตอนนี้ในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยส่วนใหญ่นั้นจะสอนให้คนหาเงิน และเอาเงินมาซื้ออาหาร และการหาเงินนั้นก็ต้องหาจากในตึก ใน Office คือเอาเวลาไปแลกเงินออกมา เพื่อซื้ออาหาร
   
          ส่วนอาหารนั้นก็ขายกำไรกันมาหลายต่อ ตั้งแต่ที่ไร่ เดินทางมาที่ตลาด ร้านอาหารไปซื้อที่ตลาดอีกที และเอามาขายเราอีกรอบ จะเห็นว่ามันทำไมต้องแพง เพราะการเดินทางของอาหารนั้นไกลเหลือเกิน และถ้าจะตั้งราคาให้ถูกเพื่อให้แข่งขันกันได้ ก็จะได้ของไม่ดีมีสารเคมีเยอะ
   

          สิ่งที่ผมมองต่างคือผมจะสอนให้ลูกเห็นว่าเงินมันอยู่ในดิน อยู่ในน้ำ อยู่ในอากาศ เราเองต้องหาวิธีดูดเงินออกมาจาก ดิน น้ำ อากาศ ผมยกตัวอย่างแบบนี้ 
   
          - ถ้าผมเอาเมล็ดผักสลัดไปวางบนดินและรดน้ำ พอมันโตมาก็มีค่า 30 บาทใน กทม.
          - ปลาคราฟผมไปซื้อมาตัวเล็ก ๆ 60-70 บาท เลี้ยงไป 1 ปี ให้มันกินขี้ไก่ ก็จะขายได้ประมาณตัวละ 700 บาท 
          - ต้นไม้ใหญ่ ๆ ผมสามารถเก็บเมล็ดมาเพาะกล้า ต้นหนึ่งให้เมล็ดหลายร้อยเมล็ดมาเพาะกล้าใส่ถุงสัก 4-6 เดือน ก็จะขายได้ต้นละ 20 บาท 
   
          เหมือนเงินมันอยู่ในดิน น้ำ อากาศจริง ๆ เราเป็นเพียงผู้สังเกตและจัดสรรเหตุปัจจัยให้เหมาะสมเพื่อดึงเงินออกมา 
   
          ตรงนี้ผมอาจจะต้องสอนเขาเรื่องวิธีทำตลาด ผมเองไม่ได้จะละทิ้งความทันสมัยของโลกปัจจุบัน แต่ผมจะให้เขารู้และเข้าใจ และใช้มันมาเกื้อกูลกับการใช้ชีวิตเพื่อให้ตัวเองพึ่งตนเองได้

          และเมื่อผมสอนลูกได้ดังนี้แล้วผมเองก็จะเปิดโรงเรียน ซึ่งให้ลูกผมมาสอนเด็ก ๆ อีกที จริง ๆ ตอนนี้แอบคิดชื่อโรงเรียนไว้แล้วครับ ชื่อว่า พุทธิจริตสิขาลัย โดยจะเน้น 4 ขบวนท่าของทางพุทธคือ

          1. พรหมวิหาร ๔
          2. อิทธิบาท ๔
          3. โยนิโสมนสิการ
          4. อิทัปปัจจยตา ปฏิจจสมุป โท


          นี่แหละหลักสูตรผม อ๋อ...ผมอาจจะลืมบอกว่า ผมทำ Home School กับลูกนะครับ ไม่ส่งลูกเข้าโรงเรียน

          ต่อไปก็จะถึงในส่วนของการแบ่งปันและหารายได้เพื่อทำประโยชน์กับสังคมให้มากขึ้น คือผมจะเปิดสิ่งแวดล้อมของผมเพื่อให้ผู้ที่สนใจในการพัฒนามาฝึกฝน และกระจายความรู้นำไปพัฒนาต่อยอดและสร้างเครือข่ายต่อ ๆ ไป

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

          และตอนนี้ผมก็ได้ทำฝันเล็ก ๆ คือการเลี้ยงม้า ที่เด็ก ๆ หลาย ๆ คนอยากเลี้ยงแต่เลี้ยงไม่ได้เพราะพื้นที่ใน กทม. ไม่เอื้ออำนวย

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

          สุดท้ายแล้วผมบอกได้เลยว่าสิ่งที่ผมทำและสิ่งที่ผมเปลี่ยนแปลงกับชีวิตนี้ มันทำให้ผมเป็นคนที่สามารถแบ่งปันได้ง่าย เพราะผักหรือไข่หรือนมนั้นมันสูบมาจาก ดิน น้ำ ลม ไฟ ความที่ผมรู้สึกเป็นเจ้าของมันก็น้อยลงและสามารถให้ฟรี ๆ กับคนอื่นได้เยอะ ๆ ไม่เหมือนใน กทม. ที่ทุกอย่างต้องเป็นการซื้อมาทั้งหมด การให้จึงจำกัดปริมาณและความถี่ด้วยตัวของมันเอง

          และลูกผมกับภรรยาผมก็เช่นกัน

          ปล. ภรรยาผมกว่าจะเห็นด้วยกับผมก็ไม่ใช่ง่าย ผมเองพาเขาไปคุยกับพี่ ๆ ที่อยู่ใน กทม. แล้วย้ายไปอยู่ในต่างจังหวัดหลายคนมาก และส่งไปเรียนการปลูกผักอินทรีย์ ใช้เวลาเป็นปีกว่าเขาจะเริ่มเห็นว่าในระยะยาวแบบนี้แหละคือสิ่งที่ดีกับชีวิต และยอมย้ายตัวเองไปกับผม

          ส่วนชีวิตที่บ้านใหม่ตอนนี้ก็สนุกมาก

          ฝึกเดินป่า

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

          ทำบ้านดิน

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ
     
แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

          ขี่ม้าบ้าง

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

          เล่นน้ำหลังบ้าน

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

          พอว่างก็ไปขอเก็บฟางจากชาวบ้าน

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

          หมดแรง

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

          ทั้งหมดนี้อยากให้พ่อแม่หลาย ๆ คนที่มองเงินเป็นจุดหมาย ลองมองใหม่ให้เงินเป็นปัจจัยในการพัฒนาชีวิตเพื่อให้เรามีความสุขมากขึ้น เพราะผมบอกได้เลยว่าการที่ผมปิดบริษัทและมาทำแบบนี้ พ่อแม่ผม ญาติ ๆ ผมทุกคนไม่เห็นด้วยหมดเลย เสียดายแต่รายได้ที่ผมเคยได้ โดยไม่ฟังความรู้สึกผมบ้าง ผมได้เยอะก็จริง แต่ผมบอกได้เลยว่าผมเหนื่อยกว่าหลาย ๆ คนมาก ช่วงที่แฟนผมท้อง ผมกลับบ้านเกือบตีสองทุกวัน เพราะตอนนั้นงานรีบมาก ผมเองต้องทำงานลูกค้าจนถึงตีหนึ่งตลอด

          จริง ๆ บางคนอาจจะคิดว่าก็ผมมีเงินผมถึงทำได้ ซึ่งนั่นก็ถูกต้องนะครับ แต่ประเด็นที่ผมจะชูคือ ผมไม่สะสมต่อ ผมชัดเจนว่าเงินเป็นปัจจัย แต่ไม่ใช่จุดหมาย พอผมรู้ว่าปัจจัยผมพร้อม ผมจึงมาทำจุดหมาย ตรงนี้ก็อยากแชร์ว่าหลาย ๆ คนจะเพลิน สุดท้ายแล้วสะสมเงินจนตาย ลืมมาทำจุดหมายครับผม

          ส่วนบางคนว่าผมเปลี่ยนอาชีพ นั่นก็ถูกต้องอีก และมันก็เป็นความท้าทายใหม่ และอาชีพใหม่นี้ก็ช่วยสร้างผม สร้างลูกให้มั่นคง มีสุขภาพดี คนมากินผักที่ผมปลูกก็สุขภาพดี
   
          และผมไม่คิดว่าจะเก็บเงินแล้วมาใช้อย่างเดียวโดยไม่หาเพิ่ม ผมก็เป็นเหมือนคนทั่วไปที่ก็ต้องทำอาชีพครับ เพื่อเลี้ยงตน เลี้ยงครอบครัว และอย่างน้อยอาชีพผมจะไม่ไปเบียดเบียนสังคม และยังต้องเกื้อกูลต่อสังคมด้วยครับ
   
          ถ้าผมสามารถโน้มน้าวความคิดความเข้าใจใหม่นี้ได้ ก็จะมีคนตามมาทำแบบนี้เยอะขึ้น ผลประโยชน์ก็เกิดกับสังคมมากขึ้น แถมไม่ต้องมีคนมาเสี่ยงก่อน เพราะสามารถดูผมเป็นหน่วยกล้าตายได้เลย ส่วนหลักการของอาชีพนี้คือต้องเป็นสัมมาอาชีวะครับผม

          แชร์วิธีปลูกข้าวที่บ้าน อันนี้เป็นอีกมุมมอง เพื่อน ๆ เห็นจะเข้าใจครับ

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

          อันนี้เป็นหลักสูตรของโรงเรียนลูกผมนะครับ จริง ๆ ตอนแรก Tag ห้องศาสนาพุทธ เพราะว่าผมตั้งใจทำโรงเรียนแนวพุทธ แต่เหมือนถูกลบออก

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

          แชร์เพิ่มเรื่องการซื้อที่ดินนะครับ

          1. ผมหาจากเว็บกรมบังคับคดี โดยแปลงที่ผมได้ ผมไปประมูลรอบที่ 4 เลยได้ลดอีก 30% และไม่มีคู่แข่ง
          - กรมบังคับคดี 

          2. ใช้เว็บกรมที่ดินในการดูตำแหน่งชัด ๆ จากเลขที่โฉนดครับผม
          - กรมที่ดิน

          จะได้แบบนี้เลย

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

          3. แนะต่อว่าผมใช้ google street view ในการดูตำแหน่งและเดินดูสภาพการเป็นอยู่แถว ๆ ที่ผ่านโปรแกรมนี้เลย คือผมสามารถทำการหาที่ได้โดยไม่ต้องนั่งรถไปดูครับ ใช้ street view เดินดูได้เลย พอดีที่ติดถนนเลข 4 หลักและ street view ไปถึงครับ แต่ผมก็ใช้ google map นี่แหละดูว่าโรงพยาบาล แหล่งน้ำ สถานีตำรวจ ใกล้ที่ของผมหรือเปล่า คือผมไปจาก กทม. ก็ยังไม่สามารถละทั้งหมดได้ ก็ยังเป็นห่วงเรื่องความปลอดภัยครับผม

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ

          มุมมองชีวิตของแต่ละคนย่อมมีความแตกต่างกันไปตามปัจจัยแวดล้อมและเหตุจำเป็นส่วนบุคคล แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม อะไรที่ทำแล้วมีความสุข ไม่เบียดเบียนคนอื่น และเรารู้สึกกับตัวเองอย่างชัดเจนได้ถึงความพอเพียง พอใจ นั่นก็แปลว่าเราอยู่ในจุดที่พอดีกับตัวเราเองแล้วล่ะค่ะ อย่างที่คุณ moobie ใช้ชีวิตอยู่ในตอนนี้ไงคะ

ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
คุณ moobie สมาชิกเว็บไซต์พันทิปดอทคอม



เรื่องที่คุณอาจสนใจ
แชร์ประสบการณ์ชีวิตนักธุรกิจ เมื่อเขาปิดบริษัทที่ทำรายได้ปีละ 20 ล้าน มาเป็นเกษตรกร !? อัปเดตล่าสุด 26 กันยายน 2560 เวลา 12:02:08 47,528 อ่าน
TOP