เผย ราคาข้าวหอมมะลิร่วงกราวเหลือ 8,900-9,100 ต่อตัน ขณะที่ "สมาคมโรงสี-สมาคมผู้ส่งออก" โต้พัลวัน ปัดเป็นตัวการทำราคาดิ่งเหว ร้องรัฐบาลจัดระเบียบธุรกิจส่งออกข้าวใหม่
วันที่ 29 พฤศจิกายน 2558 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากรัฐบาล พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้ทยอยออกมาตรการช่วยเหลือชาวนาเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2558/2559 ซึ่งคาดว่าจะมีผลผลิตปริมาณ 6 ล้านตันข้าวเปลือก ด้วยวงเงินไม่ต่ำกว่า 40,000 ล้านบาท โดยผ่านธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในหลายโครงการ อาทิ การขอความร่วมมือโรงสีเข้าช่วยซื้อข้าวเปลือกตามโครงการชดเชย ดอกเบี้ย 3% วงเงิน 385 ล้านบาท (เริ่ม 15 ตุลาคม 2558), โครงการชะลอการขาย (จำนำยุ้งฉาง) กับ ธ.ก.ส. ตันละ 13,500 บาท โดยให้ค่าฝากเก็บ 1,000 บาท วงเงิน 27,000 ล้านบาท, โครงการสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร เพื่อรวบรวมข้าวเปลือก 2.5 ล้านตัน วงเงิน 12,500 ล้านบาท (ไม่นับรวมถึงการขอความร่วมมือให้ทางสมาคมผู้ส่งออกข้าวไทยจัดทำโครงการ ประกันราคารับซื้อข้าวสารหอมมะลิตันละ 26,000 บาท หรือคิดเป็น 13,500 บาท ปริมาณ 100,000 ตัน ซึ่งขณะนี้เริ่มรับซื้อไปได้แล้ว 75,000 ตัน)
อย่างไรก็ตาม ระดับราคาข้าวเปลือกหอมมะลิเกี่ยวสดในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือกลับลดราคาต่ำลงอย่างต่อเนื่อง โดยในบางพื้นที่ เช่น จ.กาฬสินธุ์ ข้าวเปลือกหอมมะลิราคาตกลงเหลือตันละ 8,900-9,100 บาท ซึ่งเป็นระดับราคาที่ต่ำกว่าราคาในช่วงที่นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้นำคณะเดินทางลงพื้นที่ศึกษาผลผลิต ข้าวปี 2558/2559 ที่ จ.อุบลราชธานี-ยโสธร-ศรีสะเกษ ระหว่างวันที่ 11-13 พฤศจิกายน 2558 โดยขณะนั้นราคาข้าวเปลือกหอมมะลิใหม่เกี่ยวสดเฉลี่ยยังอยู่ที่ตันละ 9,000-11,000 บาท และยังต่ำกว่าราคาข้าวหอมมะลิปี 2557 ที่ชาวนาขายได้เฉลี่ยตันละ 11,000-12,000 บาท
จากการที่ข้าวหอมมะลิราคาตกต่ำอย่างมากทำให้ นายวิจักร วิเศษน้อย ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายวินิจฉัย แจ่มแจ้ง ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และ น.ส.วิบูลย์ลักษณ์ ร่วมรักษ์ อธิบดีกรมการค้าภายใน ได้เรียกประชุมภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างเร่งด่วน
แหล่งข่าวจากสมาคมโรงสีข้าวไทย กล่าวว่า ในที่ประชุมกระทรวงได้แสดงให้เห็นว่า โรงสีเป็นจำเลย จากการที่ชาวนาขายข้าวได้ในราคาต่ำ โดยทางสมาคมได้ชี้แจงไปว่า สาเหตุที่ไม่อาจรับซื้อข้าวได้ในราคาสูงเพราะข้าวหอมมะลิมีความชื้นสูง ที่สำคัญผู้ส่งออกที่รับซื้อข้าวจากโรงสีได้ปรับลดราคารับซื้อล่วงหน้าลงอย่างต่อเนื่อง โดยราคาส่งมอบเดือนธันวาคมลดลงเหลือเพียงตันละ 23,000 บาท หรือลดลงจากต้นเดือนพฤศจิกายนที่มีราคาอยู่ระหว่างตันละ 26,000-27,000 บาท หรือลดลงไปตันละ 3,000 บาท จากราคาที่ผู้ส่งออกมีโครงการประกันราคารับซื้อตันละ 26,000 บาท แม้จะมีโรงสี 200-300 โรงเข้าร่วมโครงการชดเชยดอกเบี้ย แต่เมื่อเห็นสถานการณ์ราคาข้าวในอนาคตลดลง ถึงโรงสีจะเข้าไปซื้อในราคาที่รัฐบาลต้องการ แต่เมื่อไปขายก็ไม่คุ้ม ถึงจะได้รับการชดเชยดอกเบี้ย แต่โรงสีก็ยังต้องรับภาระส่วนต่าง 7% อยู่ดี
ทั้งนี้ สมาคมโรงสีข้าวได้ตั้งข้อสังเกตว่า ช่วงนี้มีการเกี่ยวข้าวสดออกมามาก โรงสีอีสานกำลังผลิตน้อยกว่าจึงอบไม่ทัน ดังนั้นจึงมีโรงสีภาคกลาง ซึ่งมีขนาดใหญ่ขึ้นเข้ามารับข้าวหอมมะลิโรงสีภาคกลางเป็นอุตสาหกรรมขนาดใหญ่กว่า สามารถอบข้าวได้มาก และขายให้กับผู้ส่งออกทันที ทำให้ผู้ส่งออกมีอำนาจต่อรองซื้อสูง
ขณะที่ แหล่งข่าวจากวงส่งออกข้าว กล่าวว่า การตั้งราคารับซื้อข้าวหอมมะลิต่ำเป็นผลมาจากโรงสีข้าวรายใหญ่หันมาทำส่งออกข้าวกันมากขึ้น โดยโรงสีเหล่านี้มีพฤติกรรมไปขายตัดราคาในตลาดต่างประเทศ ส่งผลทำให้ราคาส่งออก FOB ลดลงจากเดิมที่เคยขายได้ 800-900 เหรียญ ขณะนี้เหลือเพียง 700-750 เหรียญ โดยหวังจะช่วงชิงส่วนแบ่งตลาด แต่ผลลัพธ์ก็คือ ราคาตลาดลดลงทั้งระบบ ทำให้ไทยได้รับเงินรายได้จากการส่งออกข้าวหอมมะลิลดลง
แหล่งข่าวจากวงส่งออกข้าว กล่าวอีกว่า ความขัดแย้งระหว่างโรงสีกับผู้ส่งออกข้าวในปีนี้ค่อนข้างรุนแรง เหตุจากในอดีตรัฐบาลมีโครงการรับจำนำข้าว โรงสีก็ขยายกำลังการผลิต เมื่อโตมากก็หันไปส่งออก บางโรงสีก้าวขึ้นมาเป็นผู้ส่งออกข้าวลำดับต้น ๆ ของประเทศ ด้วยวิธีการตัดราคาต่ำมาเพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด การทำแบบนี้โรงสีจะได้เปรียบเพราะไม่ต้องเสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย แต่ผู้ส่งออกต้องไปทำตลาดมีต้นทุนค่าการทำตลาด หากรัฐบาลไม่จัดระเบียบการประกอบธุรกิจส่งออกข้าวก็จะกระทบมาก เพราะผู้ส่งออกข้าวมีเพียง 300 ราย แต่โรงสีมีจำนวนมาก อำนาจต่อรองมากกว่า
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก
