การลงทุนในกองทุน LTF เป็นหนึ่งในวิธีลดหย่อนภาษี ซึ่งการทยอยลงทุนจะดีกว่าการซื้อในช่วงปลายปีเพียงครั้งเดียว
หากพูดถึงการลดหย่อนภาษีจากการออมและลงทุน มนุษย์เงินเดือนหลายคนคงนึกถึงการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ใช่ไหมคะ อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าการลงทุนในกองทุน LTF จะเหมาะกับมนุษย์เงินเดือนทุกคน เพราะแต่ละคนจะมีฐานภาษีที่แตกต่างกัน และกองทุนนี้ก็มีความเสี่ยงสูงเนื่องจากลงทุนในหุ้นเป็นส่วนใหญ่ นักลงทุนจึงมีโอกาสขาดทุนได้ ดังนั้น K-Expert จึงมีวิธีลงทุนในกองทุน LTF ให้เกิดประโยชน์สูงสุดมาฝากค่ะ
พิจารณาฐานภาษีสูงสุดของเราว่าอยู่ที่เท่าไร
หลักการคิดจำนวนเงินที่จะได้รับสิทธิลดหย่อนภาษีจากการลงทุนในกองทุน LTF คือ
ยอดเงินลงทุน (ไม่เกิน 15% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษีทั้งปี หรือไม่เกิน500,000 บาท) x ฐานภาษีสูงสุด
ยกตัวอย่างเช่น หากเรามีฐานภาษีสูงสุดอยู่ที่20% และซื้อกองทุน LTF เป็นเงิน 50,000 บาท ดังนั้น เราจะสามารถลดหย่อนภาษีจากการลงทุนครั้งนี้ได้ 10,000 บาท ทั้งนี้ ยอดเงินที่สามารถลดหย่อนภาษีได้อาจน้อยกว่า 10,000 บาท หากรายได้ที่ตกในฐานภาษี 20% เป็นเงินน้อยกว่า 50,000 บาทค่ะ
ดังนั้น คนที่มีฐานภาษีอยู่ในระดับสูงจะได้รับประโยชน์จากการซื้อกองทุน LTF เป็นอย่างมาก เสมือนกับว่าซื้อหุ้นได้ในราคาถูกกว่าคนอื่น เช่น หากเราซื้อกองทุน LTF ที่ดัชนี 1,000 จุด และฐานภาษีสูงสุดอยู่ที่ 30% ต้นทุนในการซื้อกองทุนของเราจะเสมือนซื้อที่ดัชนี 700 จุด ในทางตรงกันข้าม หากฐานภาษีสูงสุดของเราอยู่ที่ 10% ต้นทุนในการซื้อกองทุนของเราจะเสมือนซื้อที่ดัชนี 900 จุดค่ะ
ดังนั้น ในช่วงที่ดัชนีหุ้นปรับตัวสูงขึ้นเป็นอย่างมาก การซื้อกองทุน LTF ของคนที่มีฐานภาษีสูงสุดที่ 5% หรือ 10% อาจไม่คุ้มค่าเนื่องจากเมื่อเราถือกองทุนจนครบ 5 ปีปฏิทิน และต้องการขายก็มีโอกาสขาดทุนจากการลงทุนในครั้งนี้ได้เพราะต้นทุนในการลงทุนของเราค่อนข้างสูงค่ะ
ทยอยซื้อกองทุนหรือซื้อก้อนเดียวปลายปีดีกว่ากัน
ที่ผ่านมาจะเห็นว่ามนุษย์เงินเดือนหลายคนนิยมซื้อกองทุน LTF ในช่วงปลายปีทีเดียว คือมักซื้อกันในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม เพราะสามารถนำเงินโบนัสที่ได้รับมาซื้อกองทุนได้ อย่างไรก็ตาม ความนิยมดังกล่าวส่งผลให้ตลาดหุ้นปรับตัวสูงขึ้น และทำให้ต้นทุนในการซื้อกองทุน LTF สูงขึ้นด้วย ดังนั้น เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ แนะนำให้ลงทุนแบบทยอยซื้อดีกว่าค่ะ แต่จะทยอยซื้ออย่างไรนั้น สามารถแบ่งตามประเภทของนักลงทุนได้เป็น 2 แบบคือ
1. นักลงทุนที่มีเวลาติดตามสภาวะตลาดหากเรามีประสบการณ์การลงทุนในหุ้น และมีเวลาติดตามสภาวะตลาดแล้ว แนะนำให้ลงทุนแบบทยอยซื้อเมื่อดัชนีหุ้นอ่อนตัวลงค่ะ
2. นักลงทุนที่ไม่มีเวลาติดตามสภาวะตลาดหากงานที่เราทำค่อนข้างยุ่งจนไม่มีเวลาติดตามสภาวะตลาดหุ้น แนะนำให้ลงทุนแบบ Dollar Cost Averaging หรือซื้อแบบเฉลี่ยราคาเป็นประจำทุกเดือนเพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุน ซึ่งปัจจุบัน บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนหลายแห่งมีบริการหักเงินจากบัญชีเงินฝากออมทรัพย์อัตโนมัติเพื่อลงทุนในกองทุน LTF ช่วยให้เราสามารถลงทุนได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้นค่ะ
นอกจากนี้ สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยคือ การศึกษาข้อมูลของกองทุน LTF ต่าง ๆ ว่ามีนโยบายการลงทุน การจ่ายเงินปันผล และผลการดำเนินงานย้อนหลังเป็นอย่างไร เพื่อให้เราสามารถเลือกกองทุน LTF ได้อย่างเหมาะสม ตรงกับความเสี่ยงที่ยอมรับได้และโดนใจเรามากที่สุดค่ะ ติดตามบทความที่เกี่ยวข้องกับ "ซื้อกองทุน LTF อย่างไรให้มีประสิทธิภาพ" ได้ที่ www.askKBank.com/K-Expert หากมีข้อสงสัยหรือต้องการปรึกษาวางแผนเพิ่มเติมสามารถปรึกษากับ K-Expert ธนาคารกสิกรไทยได้ที่ K-Expert@kasikornbank.com
K-Expert Action
ศึกษารายละเอียดเงื่อนไขของกองทุน LTF ให้เข้าใจก่อนตัดสินใจลงทุน
ถ้ารับความเสี่ยงได้ไม่มาก ควรลงทุนในกองทุน LTF ที่มีนโยบายการลงทุนในหุ้นไม่เกิน 70% หรือ 75% ของมูลค่าทรัพย์สินสุทธิของกองทุน
ขอขอบคุณข้อมูลจาก