กรีซ กลายเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วชาติแรกที่ผิดนัดชำระหนี้ไอเอ็มเอฟ กว่า 1,500 ล้านยูโร หลังพ้นเส้นตาย ทำให้ไอเอ็มเอฟชะลอการช่วยเหลือเพิ่มเติม ด้านนายก ฯ กรีซ ยันไม่เอานโยบายรัดเข็มขัดจากอียู
เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2558 นายเกอร์รี ไรซ์ หัวหน้าฝ่ายสื่อสารองค์กรของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ออกแถลงการณ์เกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้ของกรีซที่มีกำหนดเส้นตายในวันนี้ (1 กรกฎาคม 2558) ซึ่งในแถลงการณ์ระบุว่า จากที่กรีซได้ทำสัญญากับไอเอ็มเอฟว่าจะชำระหนี้จำนวน 1.5 พันล้านยูโร (ประมาณ 55,500,000,000 ล้านบาท) ในวันที่ 1 กรกฎาคมนั้น ขณะนี้ทางไอเอ็มเอฟยังไม่ได้รับการจ่ายหนี้แต่อย่างใด ซึ่งได้แจ้งต่อทางคณะกรรมการบริหารของไอเอ็มเอฟแล้ว ทั้งนี้กรีซจะได้รับเงินช่วยเหลืออีกจำนวนหนึ่งจากทางไอเอ็มเอฟก็ต่อเมื่อชำระหนี้ก่อนเดิมหมดแล้วเท่านั้น อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ของกรีซได้ยื่นคำร้องขอให้ยืดระยะเวลาชำระหนี้ออกไปอีก ซึ่งไอเอ็มเอฟจะได้หารือถึงเรื่องดังกล่าวต่อไป
ด้านนายเยอรูน เดเซลบลูม ประธานยูโรโซน กล่าวว่า บัดนี้โอกาสสุดท้ายในการชำระหนี้ก้อนเดิมของกรีซได้หมดลงแล้ว หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทางไอเอ็มเอฟได้ยืดระยะเวลาการชำระหนี้ให้กับกรีซไปแล้ว แต่กรีซกลับเมินเฉยต่อโอกาสดังกล่าว ทำให้กรีซจะหมดสิทธิ์ใช้เงินที่กู้มาจากไอเอ็มเอฟทันที และจะใช้ได้อีกครั้งหลังจากที่ชำระหนี้หมดแล้วเท่านั้น และถ้าหากจะต้องมีการช่วยเหลือครั้งใหม่ กรีซก็จะต้องเผชิญกับเงื่อนไขที่รัดกุมมากกว่าเดิม อันเนื่องมาจากการเสื่อมสภาพด้านการเงินของกรีซเอง
ขณะที่นายกรัฐมนตรีอเล็กซิส ซีปราส ของกรีซได้ออกมาเรียกร้องให้ประชาชนในประเทศลงคะแนนเสียงไม่รับรองประชามติข้อเสนอของสหภาพยุโรปและไอเอ็มเอฟที่ระบุให้กรีซต้องตัดเงินบำนาญและสวัสดิการต่าง ๆ รวมไปถึงเก็บภาษีเพิ่มเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้ท่ามกลางวิกฤติเศรษฐกิจ โดยประชามติดังกล่าวมีข้อแนบท้ายที่จะมีผลทำให้กรีซถูกผลักดันออกจากยูโรโซน ซึ่งกลุ่มผู้นำประเทศสมาชิกอียูหลายคนก็ออกมาเตือนว่า หากกรีซเลือกที่จะโหวต โน ก็เท่ากับว่ากรีซมีสิทธิ์ที่จะถูกขับออกจากสหภาพยุโรปได้เลย
ทั้งนี้เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่กรีซได้พยายามยื่นขอกู้เงินจากสหภาพยุโรปเป็นจำนวน 32 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อนำมาแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจ ซึ่งถือว่าเป็นการขอกู้เงินจากอียูเป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 6 ปี
