(ภาพประกอบไม่เกี่ยวข้องกับข้อมูล)
กทม. เล็งเก็บเพิ่มค่าจอดรถ ภาษีป้ายและโรงเรือนให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น ตั้งเป้าปี 2559 เพิ่มรายได้สูงถึง 8.5 หมื่นล้าน
เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2558 นายจุมพล สำเภาพล รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน กทม. มีภารกิจที่อยู่ในความรับผิดชอบและที่ได้รับมอบหมายจากรัฐบาลเป็นจำนวนมาก ขณะเดียวกัน กทม. ยังมีข้อจำกัดในเรื่องอำนาจหน้าที่ รวมทั้งการจัดเก็บรายได้ที่ไม่เพียงพอกับความต้องการใช้งบประมาณ ซึ่งรายได้ที่ กทม. สามารถจัดเก็บเองได้นั้น คิดเป็นร้อยละ 23 และรายได้ที่ส่วนราชการอื่นจัดเก็บให้ ร้อยละ 77 ของรายได้ทั้งหมด ทำให้ กทม. ต้องดำเนินการหาแหล่งเงินทุนภายนอก เพื่อลงทุนในด้านโครงสร้างพื้นฐาน อาทิ การคมนาคมขนส่งมวลชน, การป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม การปรับโครงข่ายถนน และการศึกษา เป็นต้น
ทั้งนี้ กทม. ได้วางแนวทางการหาแหล่งเงินทุน 3 ระยะ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. ระยะเร่งด่วน โดยการกู้เงินสถาบันการเงินที่มีอยู่
2. ระยะกลาง จะปรับกฎหมาย เพื่อให้สามารถออกเงินค้ำประกันได้
3. ระยะยาว จะต้องแก้กฎหมาย เพื่อให้สามารถออกเงินค้ำประกันได้
อย่างไรก็ตาม แนวทางการหาแหล่งเงินทุน จะต้องพิจารณาขีดความสามารถในการชำระหนี้ พร้อมดอกเบี้ยในระยะ 30 ปีด้วย
ขณะเดียวกัน กทม. ต้องเร่งพัฒนาขีดความสามารถในการจัดเก็บภาษีและรายได้ให้มีศักยภาพสูงขึ้น โดยการแก้ไข พ.ร.บ.กรุงเทพมหานคร พ.ศ.2528 เรื่องการจัดเก็บภาษีโรงแรมและยาสูบ รวมทั้งแก้กฎหมายที่จอดรถ ซึ่งอัตราเดิมไม่เพียงพอ อาทิ ประเทศสหรัฐอเมริกา หรือฝรั่งเศส มีรายได้จากการจัดเก็บค่าที่จอดรถเป็นจำนวนมาก
นอกจากนี้ กทม. จะเพิ่มภาษีบำรุงท้องที่ โรงเรือนและที่ดินและภาษีป้ายให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น โดยตั้งเป้าปี 2559 จำนวน 8.5 หมื่นล้านบาท
นายจุมพล กล่าวทิ้งท้ายว่า กทม. จะพัฒนาระบบแผนที่ภาษีให้มีความชัดเจนมากขึ้น เนื่องจาก กทม. มีพื้นที่ 2.5 ล้านแปลง แต่กลับมีผู้เสียภาษีเพียง 6 แสนรายเท่านั้น ประกอบกับการประเมินที่ดินในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับราคาขายจริงอีกด้วย ซึ่งในเรื่อง กทม. จะประสานงานกับกรมธนารักษ์ เพื่อให้มีความสอดคล้องกัน
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก