ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์
เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์
ดร.สามารถ ชี้รถไฟทางคู่ไทย อย่าให้จีนชี้นำ หรือดัดแปลงแนวเส้นความเร็ว เนื่องจากไทยอาจจะไม่ได้รับประโยชน์สูงสุด
วันนี้ (23 พฤศจิกายน 2557) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่เฟซบุ๊ก ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์และอดีตรองผู้ว่าราชการ กทม. ได้โพสต์ข้อความระบุว่า รถไฟทางคู่ไทยอย่างให้จีนมาชี้นำหรือดัดแปลงแนวเส้นความเร็ว เนื่องจากไทยอาจจะไม่ได้รับประโยชน์สูงสุด ดังนี้..
"รถไฟทางคู่ของรัฐบาลประยุทธ์ได้ดัดแปลงแนวเส้นทางของรถไฟความเร็วสูงมาจากรัฐบาลอภิสิทธิ์โดยมีการเปลี่ยนแปลงทั้งด้านราคาและเส้นทางแต่ไม่มีการศึกษาความเหมาะสม (Feasibility Study) มาตามลำดับ ดังนี้
1. รถไฟทางคู่ครั้งที่ 1
ในปลายเดือนกรกฎาคม 2557 ก่อนมีรัฐบาลประยุทธ์ มีการประโคมข่าวใหญ่โตว่าจะมีการก่อสร้างรถไฟทางคู่โดยใช้รางกว้าง 1.435 เมตร ซึ่งเท่ากับรางของรถไฟความเร็วสูง แต่มีความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ประกอบด้วย 2 เส้นทาง ดังนี้
(1) หนองคาย-โคราช-สระบุรี-แหลมฉบัง-มาบตาพุด ระยะทาง 737 กิโลเมตร ค่าก่อสร้าง 392,570 ล้านบาท หรือค่าก่อสร้างเฉลี่ย 532.66 ล้านบาท/กิโลเมตร
(2) เชียงของ-เด่นชัย-บ้านภาชี-แหลมฉบัง ระยะทาง 655 กิโลเมตร ค่าก่อสร้าง 348,890 ล้านบาท หรือค่าก่อสร้างเฉลี่ย 532.66 ล้านบาท/กิโลเมตร
ผมได้เคยตั้งข้อสังเกตไว้ว่าเป็นไปไม่ได้ที่ค่าก่อสร้างเฉลี่ยต่อกิโลเมตรจะเท่ากันทั้งสองเส้นทางคือ 532.66 ล้านบาท/กิโลเมตร เพราะลักษณะภูมิประเทศของเส้นทางทั้งสองต่างกัน อีกทั้ง ได้วิจารณ์ว่าเป็นราคาค่อนข้างสูง เพราะมีราคาพอ ๆ กับค่าก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงในแผนเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท (สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์) ซึ่งมีค่าก่อสร้างเฉลี่ย 541.50 ล้านบาท/กิโลเมตร แต่การก่อสร้างรถไฟทางคู่ทั้งสองสายดังกล่าวไม่ใช่เป็นการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงที่วิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 250-300 กิโลเมตร/ชั่วโมง ดังนั้น ค่าก่อสร้างรถไฟทางคู่จะต้องถูกกว่า
2. รถไฟทางคู่ครั้งที่ 2
จากรถไฟทางคู่ 2 เส้นทาง ก็ถูกเปลี่ยนเป็น 3 เส้นทาง ในปลายเดือนตุลาคม 2557 ประกอบด้วย (1) กรุงเทพฯ-นครราชสีมาและนครราชสีมา-มาบตาพุด (2) กรุงเทพ-ระยอง และ (3) นครราชสีมา-หนองคาย พร้อมทั้งปรับเพิ่มความเร็วสูงสุดเป็น 180 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ผมได้วิจารณ์ว่าเป็นการเปลี่ยนเส้นทางโดยไม่มีการศึกษาความเหมาะสม ทำให้ได้เส้นทางที่ดูแปลกๆ นั่นคือเส้นทางจากกรุงเทพฯ-นครราชสีมาและนครราชสีมา-มาบตาพุด ผมนึกไม่ออกว่าจะมีใครคิดจะเดินทางหรือขนส่งสินค้าจากกรุงเทพฯ ไปมาบตาพุดโดยผ่านนครราชสีมาซึ่งเป็นเส้นทางที่อ้อมให้เสียเวลา
3. รถไฟทางคู่ครั้งที่ 3
ในเดือนพฤศจิกายน 2557 หลังจาก พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กลับจากประชุมเอเปค ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน มีการแถลงว่าจะก่อสร้างรถไฟทางคู่ขนาดราง 1.435 เมตร วิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง โดยความร่วมมือกับจีน 3 ช่วง ประกอบด้วย ช่วงหนองคาย-นครราชสีมา-แก่งคอย ช่วงแก่งคอย-กรุงเทพฯ และช่วงแก่งคอย-ชลบุรี-มาบตาพุด ระยะทางรวม 867 กิโลเมตร ใช้เงินลงทุน 392,570 ล้านบาท รถไฟทางคู่นี้จะใช้ขนทั้งคนและสินค้า ซึ่งต่อไปจะพัฒนาเป็นรถไฟความเร็วสูง
ผมได้วิจารณ์ว่าค่าก่อสร้างรถไฟทางคู่ 3 เส้นทาง เฉลี่ย 452.79 ล้านบาท/กิโลเมตร แม้จะลดลงจากเดิมก็ยังถือว่าแพง
ก่อนที่จะมีการลงนามในบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) ภายในเดือนธันวาคม 2557 ที่ประเทศจีน ผมขอให้ความเห็นเพื่อบรรจุไว้ในเอ็มโอยู ดังนี้
1. จะต้องระบุให้มีการศึกษาความเหมาะสมเพื่อหาเส้นทางที่จะทำให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศไทย นั่นคือ เป็นเส้นทางที่มีผู้โดยสารมาก ผมถือว่าเส้นทางมีความสำคัญมาก หากได้เส้นทางไม่ดีก็เจ๊งตั้งแต่ยังไม่เริ่มก่อสร้าง ดังนั้น รัฐบาลจะต้องฟังเสียงคนไทย เพราะคนไทยรู้จักเส้นทางดีกว่าคนจีน
2. จะต้องคำนวณราคาก่อสร้างใหม่ให้เหมาะสม ซึ่งควรถูกลง ไม่ใช่ 452.79 ล้านบาท/กิโลเมตร ซึ่งแพง! หากยังคงยืนยันว่าจะต้องเสียค่าก่อสร้าง 452.79 ล้านบาท/กิโลเมตร ก็สร้างเป็นรถไฟความเร็วสูงเสียเลย
3. จะต้องเลือกรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสม การคาดหวังให้ประเทศจีนช่วยหรือลงทุนให้นั้น เป็นไปไม่ได้ที่จีนจะไม่หวังผลตอบแทนจากเราในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
4. หากต้องการขนสินค้าด้วย จะต้องหาปริมาณสินค้าและประเภทของสินค้าที่จะมีการขนส่งระหว่างสองประเทศ ไทยจะขนอะไรไปจีน และจีนจะขนอะไรมาไทย ที่สำคัญ หลังจากเปลี่ยนจากรถไฟทางคู่เป็นรถไฟความเร็วสูง จะต้องตอบให้ได้ว่าจะขนสินค้าได้อย่างไร
5. ไทยจะต้องมีอิสระในการเลือกเทคโนโลยี รวมทั้งวัสดุอุปกรณ์และผู้รับเหมาก่อสร้าง
6. ควรศึกษาเปรียบเทียบข้อดีข้อเสียในการก่อสร้างรถไฟทางคู่กับการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูง ซึ่งวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 250-300 กิโลเมตร/ชั่วโมง
ผมทราบมาว่าผู้ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานโครงการรถไฟทางคู่ขนาดราง 1.435 เมตร ซึ่งวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง หนักใจกันมาก เขาบอกว่าควรเร่งก่อสร้างรถไฟทางคู่ขนาดราง 1 เมตร ที่มีการศึกษาและออกแบบไว้แล้วดีกว่า ซึ่งจะเพิ่มขีดความสามารถการขนส่งได้ใกล้เคียงกัน แต่ใช้เงินน้อยกว่ามาก ซึ่งผมก็มีความเห็นเช่นนั้น เพราะรถไฟทางคู่ขนาดราง 1 เมตร จะสามารถวิ่งได้ด้วยความเร็วสูงสุด 160 กิโลเมตร/ชั่วโมง ถ้ามีการแก้ปัญหาจุดตัดระหว่างทางรถไฟกับถนน โดยก่อสร้างถนนลอดใต้ทางรถไฟ หรือก่อสร้างสะพานข้ามทางรถไฟ เช่นเดียวกับรถไฟทางคู่ขนาดราง 1.435 เมตร จะวิ่งด้วยความเร็วสูงสุด 180 กิโลเมตร/ชั่วโมง ได้นั้นก็ต้องแก้ปัญหาจุดตัดระหว่างทางรถไฟกับถนน
ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ก็เพราะไม่ต้องการให้จีนชี้นำ ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยไม่ได้รับประโยชน์สูงสุดครับ